top of page

สิ่งที่ควรรู้ก่อนทำศัลยกรรมดึงหน้าและยกคิ้ว
ฉบับปี 2024 !!!

อายุที่เพิ่มมากขึ้นนำมาซึ่งปัญหาความหย่อนคล้อย โดยเฉพาะผิวหนังบนใบหน้าและบริเวณลำคอที่หย่อนลงส่งผลให้หน้าผากย่น คิ้วไม่ยก หางตาตก ทำให้ดูมีอายุ ไม่สดใส อ่อนเพลีย การศัลยกรรมดึงหน้าผากและคิ้วจึงเป็นการแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยให้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม 

​ผ่าตัดดึงหน้าผากและคิ้ว

การศัลยกรรมดึงหน้าผากและคิ้วเป็นการผ่าตัดยกหนังหน้าผากและคิ้วขึ้นไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้การผ่าตัดหนังศีรษะส่วนเกินและตัดแต่งกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผากและหัวคิ้ว การผ่าตัดนี้สามารถยกคิ้วและดึงหน้าผากให้ตึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก่อให้เกิดแผลเป็นขนาดยาวตามแนวที่คาดผม ใช้เวลาพักฟื้นค่อนข้างนาน และมักมีอาการชาบริเวณกระหม่อมตามมา

ศัลยกรรมดึงหน้าคืออะไร?

ศัลยกรรมดึงหน้าหรือที่เรียกว่า "การเสริมความงามใบหน้า" (Facelift) เป็นหัตถการทางศัลยกรรมตกแต่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดเลือนริ้วรอยและทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยทั่วไปแล้วมีขั้นตอนดังนี้:

  1. การยกกล้ามเนื้อและผิวหนังบริเวณใบหน้าและลำคอ

  2. การกำจัดไขมันส่วนเกิน

  3. การปรับโครงสร้างของใบหน้าให้กระชับขึ้น

ผลลัพธ์ที่ได้คือการลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อยของผิวหนัง และทำให้รูปหน้าดูเรียวขึ้น

ศัลยกรรมนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย  เป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงและต้องการการพักฟื้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ

การผ่าตัดดึงหน้าคือดึงส่วนไหนแก้ปัญหาอะไร?

1. การยกกระชับหน้าผาก (Forehead Lift)

- เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาคิ้วตก รอยย่นบนหน้าผาก และหางตาหย่อน ซึ่งอาจส่งผลต่อการมองเห็น ทำให้ต้องเลิกคิ้วบ่อยๆ การใช้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังบริเวณนี้มากเกินไปเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดริ้วรอยถาวร

2. การปรับโครงหน้าส่วนบนและเขตขมับ (Upper Facelift/Temporal Lift)

- ช่วยแก้ไขปัญหาหางตาตก สายตาดูเศร้า และโหนกแก้มที่เริ่มหย่อน ผลลัพธ์คือใบหน้าดูสดใสขึ้น ลดเลือนรอยตีนกาและริ้วรอยรอบดวงตา ทำให้ใบหน้าส่วนบนดูกระชับและมีชีวิตชีวามากขึ้น

3. การยกกระชับใบหน้าส่วนกลางและล่าง (Lower Facelift)

- ช่วยลดความลึกของร่องแก้มและร่องข้างปาก ทำให้โครงหน้าส่วนล่างดูตึงกระชับและถูกยกขึ้น ส่งผลให้ใบหน้ามีรูปทรงเป็นตัว V ที่ดูอ่อนเยาว์

4. การปรับโครงสร้างลำคอ (Neck Lift)

- ช่วยเพิ่มความตึงกระชับให้กับผิวบริเวณคอ ลดความหย่อนคล้อยและเหนียงใต้คาง เพื่อให้ลำคอดูสอดคล้องกลมกลืนกับใบหน้าส่วนอื่นที่ได้รับการปรับปรุง

รู้ทันสาเหตุ ความหย่อนคล้อยของใบหน้า

  1. กระบวนการชราภาพตามธรรมชาติ

    • การผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลงตามอายุ ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น

    • ชั้นไขมันใต้ผิวหนังบางลง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย

  2. แรงโน้มถ่วงของโลก

    • มีผลต่อเนื้อเยื่อทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงใบหน้า ทำให้ผิวหนังและกล้ามเนื้อหย่อนลงตามกาลเวลา

  3. การสูญเสียมวลกระดูก

    • โครงสร้างกระดูกใบหน้าเสื่อมลงตามวัย ทำให้ใบหน้าดูแบนและหย่อนคล้อย

  4. ปัจจัยด้านพันธุกรรม

    • บางคนมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาผิวหย่อนคล้อยเร็วกว่าคนอื่นเนื่องจากพันธุกรรม

  5. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม

    • การสูบบุหรี่ มลภาวะ และรังสี UV จากแสงแดด เร่งกระบวนการเสื่อมของผิว

  6. การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว

    • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วหรือการเพิ่มน้ำหนักสลับกันบ่อยๆ ทำให้ผิวหย่อนคล้อย

  7. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

    • ส่งผลต่อการฟื้นฟูเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูอ่อนล้าและหย่อนคล้อยเร็วขึ้น

  8. การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม

    • ขาดการบำรุงผิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว อาจเร่งการเสื่อมของผิว

ใครที่เหมาะกับผ่าตัดดึงหน้า

ใบหน้าที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดดึงหน้ามักมีลักษณะดังต่อไปนี้

1. มีความหย่อนคล้อยของผิวหนังที่ชัดเจน

ผิวหนังบริเวณแก้มและขากรรไกรเริ่มหย่อนลงมา มีรอยพับชัดเจนจากจมูกถึงมุมปาก (ร่องแก้ม)

2. มีริ้วรอยลึกบนใบหน้า

โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก รอบดวงตา และปาก

3. โครงหน้าเปลี่ยนแปลง

ใบหน้าส่วนล่างดูไม่เรียว หรือมีเหนียงใต้คาง โหนกแก้มดูแบนลงหรือหย่อนต่ำลง

4. ผิวหนังยังมีความยืดหยุ่นพอสมควร

ไม่บางหรือเหี่ยวย่นมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร

5. สุขภาพโดยรวมแข็งแรง

ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการผ่าตัด

6. อายุที่เหมาะสม

โดยทั่วไปเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 40-70 ปีอย่างไรก็ตาม อายุไม่ใช่ข้อจำกัดเสมอไป ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล

7. มีความคาดหวังที่สมเหตุสมผล

เข้าใจว่าการผ่าตัดจะช่วยปรับปรุงรูปลักษณ์ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างใบหน้าโดยสิ้นเชิง

8. ไม่สูบบุหรี่หรือสามารถหยุดสูบได้

การสูบบุหรี่อาจส่งผลต่อการหายของแผลและผลลัพธ์ของการผ่าตัด

9. มีเวลาพักฟื้นเพียงพอ

การฟื้นตัวหลังผ่าตัดอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์

10. ไม่มีปัญหาผิวหนังรุนแรง

เช่น โรคผิวหนังอักเสบหรือการติดเชื้อเรื้อรัง

" 1. การดึงหน้าผาก ยกคิ้ว ยกหางตา "

เทคนิคที่ 1 ศัลยกรรมดึงหน้าผากเปิดแผลตามแนวไรผม (Hair Line)

 

เป็นการผ่าตัดดึง ยกรอยย่นบริเวณหน้าผากขึ้นไป และทำการตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินของผิวหน้าผากออก จึงทำการเย็บปิดแผลใหม่ให้ซ่อนตามแนวไรผม (Hair Line) เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่หน้าผากกว้าง และมีความต้องการให้หน้าผากแคบลง

เทคนิคที่ 2 ศัลยกรรมดึงหน้าผาก (Endotine) 

ศัลยกรรมยกกระชับหน้าผากด้วยเทคโนโลยี Endotine เป็นนวัตกรรมการผ่าตัดที่ใช้กล้องส่องขนาดจิ๋ว (Endoscopic) เข้าถึงชั้น SMAS ซึ่งเป็นโครงสร้างกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง วิธีนี้ใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ชื่อ Endotine ซึ่งมีคุณสมบัติย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อ และไม่ทิ้งสารแปลกปลอมไว้ในร่างกาย แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กมาก โดยมีเพียง 3-4 จุดบริเวณไรผมเหนือศีรษะ ทั้งด้านบนและด้านข้าง ทำให้แทบไม่เห็นร่องรอยการผ่าตัดเมื่อแผลหายสนิท

" 2. ดึงใบหน้าส่วนบนและหางตา "

เป็นทางเลือกที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา (หรือที่เรียกว่ารอยตีนกา) และภาวะคิ้วหย่อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นทางด้านข้าง ปัญหาเหล่านี้มักพบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงวัย เทคนิคการผ่าตัดนี้ช่วยปรับโครงสร้างใบหน้าส่วนบน

โดยมีจุดประสงค์หลักคือ: ยกระดับคิ้วให้โค้งสวยงาม 
ทำให้หางตาดูคมเฉียบขึ้น ยกกระชับผิวบริเวณใบหน้าส่วนบนทั้งหมด

เปิดแผลผ่าตัดที่ไรผม foxy eyes ยกหางตา

 

การผ่าตัดยกหางตาแบบ "Foxy Eyes" เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างรูปตาที่ดูคมเฉียบและยาวขึ้น ต่อไปนี้คือรายละเอียดของวิธีการนี้:

  1. ตำแหน่งแผลผ่าตัด

    • แพทย์จะทำการเปิดแผลบริเวณไรผมด้านข้างศีรษะ ใกล้กับหางคิ้ว

    • แผลมีขนาดเล็กและถูกซ่อนอยู่ในเส้นผม ทำให้แทบไม่สังเกตเห็นหลังการหายสนิท

  2. เทคนิคการผ่าตัด

    • ใช้การดึงผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณหางตาและหางคิ้วขึ้นไปทางด้านข้างและบน

    • อาจมีการปรับโครงสร้างกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังเพื่อให้ผลลัพธ์คงทนยาวนานขึ้น

  3. ผลลัพธ์ที่ได้

    • หางตายกสูงขึ้น ทำให้ดวงตาดูยาวและเรียวขึ้น

    • ลดความหย่อนคล้อยของผิวบริเวณหางตาและหางคิ้ว

    • สร้างลุคที่ดูคมเฉียบ เสริมเสน่ห์ให้ใบหน้า

" 3. ดึงใบหน้าส่วนกลางและล่าง "

การปรับโครงสร้างใบหน้าส่วนกลางและล่าง เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหนังที่ครอบคลุมตั้งแต่บริเวณใต้ตาลงมาจนถึงแก้ม โดยมุ่งเน้นที่เปลือกตาล่าง ร่องใต้ตา และบริเวณร่องแก้ม โดยเทคนิคการผ่าตัด จะใช้วิธียกและยึดผิวหนังในตำแหน่งใหม่ ตำแหน่งแผลผ่าตัด แผลจะถูกซ่อนไว้ในจุดที่สังเกตได้ยาก ลดความกังวลเรื่องรอยแผลเป็นที่มองเห็นได้บนใบหน้าด้านตรง

เทคนิคที่ 1 การผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Mini facelift)

  1. ตำแหน่งแผลผ่าตัด

    • ทำการเปิดแผลขนาดเล็กทั้งสองข้างของใบหน้า

    • แผลเริ่มจากบริเวณขมับลงมาถึงขอบด้านบนของใบหู

  2. เทคนิคการผ่าตัด

    • ศัลยแพทย์จะแยกชั้นใต้ผิวหนังลงไปถึงบริเวณใบหน้าส่วนล่าง

    • มุ่งเน้นที่ชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง

  3. การปรับโครงสร้าง

    • ยกและดึงชั้น SMAS ให้อยู่ในตำแหน่งใหม่ที่กระชับขึ้น

    • เย็บยึดเนื้อเยื่อในตำแหน่งที่ยกขึ้น

  4. การจัดการผิวหนังส่วนเกิน

    • ตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินออกอย่างระมัดระวัง

วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ โดยมีแผลผ่าตัดน้อยและการฟื้นตัว

ที่รวดเร็วกว่าการผ่าตัดแบบเต็มรูปแบบ

เทคนิคที่ 2 การผ่าตัดแบบดึงทั้งหน้า (Full face lift)

"Full Facelift" เป็นวิธีการที่ครอบคลุมและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด มีรายละเอียดดังนี้

  1. ขอบเขตการผ่าตัด

    • ครอบคลุมทั่วทั้งใบหน้า ตั้งแต่หน้าผากจนถึงลำคอ

    • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยมาก

  2. เทคนิคการผ่าตัด

    • เริ่มจากการเปิดแผลบริเวณขมับ ต่อเนื่องไปตามแนวหน้าหูและหลังหู

    • แยกชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังลงไปถึงชั้น SMAS

  3. การปรับโครงสร้างใบหน้า

    • ยกและปรับตำแหน่งของชั้น SMAS

    • ดึงผิวหนังให้ตึงขึ้นในทุกส่วนของใบหน้า

  4. การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่

    • อาจใช้อุปกรณ์เสริม เช่น Endotine เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเนื้อเยื่อ

  5. การจัดการผิวส่วนเกิน

    • ตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินออกอย่างระมัดระวัง

    • ปรับแต่งให้เข้ากับโครงสร้างใบหน้าใหม่

  6. การปิดแผล

    • ใช้เทคนิคการเย็บแผลแบบพิเศษเพื่อลดการเกิดรอยแผลเป็น

    • ซ่อนรอยแผลไว้ตามแนวเส้นผมและรอยพับธรรมชาติของใบหน้า

  7. ระยะเวลาการผ่าตัด

    • ใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อน

  8. การฟื้นตัว

    • ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2-3 สัปดาห์

    • อาการบวมและช้ำอาจคงอยู่นานถึง 2-3 เดือน

  9. ผลลัพธ์

    • ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานที่สุดในบรรดาวิธีการยกกระชับใบหน้าทั้งหมด

    • สามารถแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยได้อย่างครอบคลุม

" 4. ผ่าตัดดึงคอ "

Neck Lift" เป็นวิธีการปรับปรุงรูปลักษณ์ของลำคอและบริเวณใต้คาง มีรายละเอียดดังนี้:

  1. จุดประสงค์หลัก

    • แก้ไขปัญหาผิวหนังคอหย่อนคล้อย

    • ลดเหนียงหรือไขมันใต้คาง

    • ปรับปรุงแนวกรามให้ชัดเจนขึ้น

  2. วิธีการผ่าตัด

    • เปิดแผลขนาดเล็กใต้คางและ/หรือหลังหู

    • แยกชั้นผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง

    • ปรับโครงสร้างกล้ามเนื้อคอ (Platysma)

  3. เทคนิคเฉพาะ

    • อาจใช้วิธีดูดไขมันร่วมด้วยในกรณีที่มีไขมันใต้คางมาก

    • ยกและตึงกล้ามเนื้อ Platysma เพื่อสร้างแนวคอที่ชัดเจน

  4. การจัดการผิวหนัง

    • ตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินออก

    • ดึงผิวหนังให้ตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

  5. การปิดแผล

    • ใช้เทคนิคเย็บแผลแบบละเอียด เพื่อลดการเกิดรอยแผลเป็น

    • ซ่อนแผลไว้ในตำแหน่งที่สังเกตเห็นได้ยาก

  6. ระยะเวลาการผ่าตัด

    • ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง

  7. การฟื้นตัว

    • พักฟื้นเบื้องต้นประมาณ 1-2 สัปดาห์

    • อาจมีอาการบวมและช้ำในช่วงแรก

  8. ผลลัพธ์

    • เห็นผลชัดเจนหลังจากอาการบวมลดลง (ประมาณ 1-2 เดือน)

    • ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และมีโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น

  9. ข้อควรพิจารณา

    • มักทำร่วมกับการยกกระชับใบหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่กลมกลืน

    • เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเฉพาะบริเวณคอและใต้คาง

การดูแลตัวเองหลังศัลยกรรม

  • หลังผ่าตัดเสร็จให้ประคบเย็นอย่างน้อย 48 – 72 ชั่วโมง ระมัดระวังอย่าให้โดนแผลโดยตรง ควรประคบบริเวณรอบๆแผล เพื่อลดอาการบวมช้ำ หลังจากนั้นประคบต่อเนื่องไปอีก 3 วัน และค่อยเปลี่ยนเป็นประคบเย็นในช่วงตอนกลางคืนประมาณ 1-2 สัปดาห์หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล ห้ามแผลโดนน้ำ หรือโดนกระแทกบริเวณใบหน้าและลำคอ เป็นเวลา 7 วัน

  • นอนศีรษะให้สูงเพื่อช่วยลดอาการบวมเป็นเวลาประมาณ 1 อาทิตย์

  • ควรทำความสะอาดแผลทุกวัน โดยใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือซับเบาๆบริเวณแผล

  • ใส่ที่ผ้ารัดหน้าหลังจากทำศัลยกรรมอย่างน้อย 3-5 วัน เพื่อช่วยพยุงแผลจากภายนอกอีกทาง หลังจากนั้นใช้ผ้ารัดเฉพาะบริเวณกลางคืนต่อเป็นเวลา 1 เดือน

  • งดรับประทานอาหารรสจัด ของหมักดอง อาหารทะเล อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ วิตามินและอาหารเสริม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลาอย่างน้อย

  • งดกิจกรรม การออกกำลังกายทุกชนิด ที่จะทำให้กระทบกระเทือนแผล ประมาณ 2อาทิตย์

  • ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

IMG_3217.JPG

รวมคำถามยอดฮิต
เกี่ยวกับศัลยกรรมดึงหน้าไว้ที่นี่แล้ว!!!

1. ศัลยกรรมดึงหน้าเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่?

  • โดยทั่วไปเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป แต่ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน

2. การผ่าตัดใช้เวลานานแค่ไหน?

  • ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 2-5 ชั่วโมง

3. ต้องพักฟื้นนานเท่าไหร่?

  • การพักฟื้นเบื้องต้นใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่อาการบวมอาจคงอยู่นานถึง 2-3 เดือน

4. จะเห็นผลลัพธ์เมื่อไหร่?

  • ผลลัพธ์เบื้องต้นจะเห็นได้หลังจากอาการบวมลดลง ประมาณ 2-3 สัปดาห์ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายอาจใช้เวลาถึง 3-6 เดือน

5. ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานแค่ไหน?

  • โดยเฉลี่ยประมาณ 7-10 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวและปัจจัยอื่นๆ

6. มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

  • ความเสี่ยงอาจรวมถึงการติดเชื้อ เลือดออก ชา หรือความไม่สมมาตรของใบหน้า แต่พบได้น้อยหากทำโดยศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง

7. จะมีแผลเป็นหรือไม่?

  • แพทย์จะพยายามซ่อนแผลไว้ตามแนวเส้นผมหรือรอยพับธรรมชาติของใบหน้า ทำให้แทบไม่สังเกตเห็น

8. สามารถทำร่วมกับศัลยกรรมอื่นได้หรือไม่?

  • ได้ มักทำร่วมกับการทำตา จมูก หรือโปรแกรมโบท็อกซ์ , โปรแกรมฟิลเลอร์ และโปรแกรมฉีดไขมัน

9. ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนผ่าตัด?

  • หยุดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงยาบางชนิด และทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

10. หลังผ่าตัดต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

  • พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลแผล

bottom of page