ศัลยกรรมเสริมหน้าอกกับ
PERSONA CLINIC
เสริมหน้าอก รู้ให้จริง เลือกให้เป็น สวยได้สบายใจ
การเสริมหน้าอกเป็นหนึ่งในศัลยกรรมตกแต่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากผู้หญิงจำนวนมากรู้สึกไม่มั่นใจกับรูปร่างหน้าอกของตนเอง และต้องการเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยเสริมรูปร่างให้ดูดีและสวยงามยิ่งขึ้น
การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนคืออะไร
การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเป็นหัตถการศัลยกรรมตกแต่งที่นิยมใช้เพื่อเพิ่มขนาดและปรับรูปทรงของหน้าอก โดยทั่วไปมีขั้นตอนดังนี้
-
ศัลยแพทย์จะฝังถุงซิลิโคนเข้าไปใต้เนื้อเยื่อเต้านมหรือกล้ามเนื้อหน้าอก
-
ถุงซิลิโคนมีหลายขนาดและรูปทรงให้เลือกตามความต้องการของผู้รับการผ่าตัด
-
การผ่าตัดมักทำภายใต้การดมยาสลบ และใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
-
ระยะพักฟื้นหลังผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
ใครที่ควรเสริมหน้าอกบ้าง?
การตัดสินใจเสริมหน้าอกเป็นเรื่องส่วนบุคคลและควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยทั่วไป ผู้ที่อาจพิจารณาการเสริมหน้าอกได้แก่
-
ผู้ที่ไม่พอใจกับขนาดหรือรูปทรงหน้าอกของตนเอง และมีความมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ
-
ผู้ที่มีหน้าอกไม่สมมาตรหรือมีความผิดปกติของรูปทรงหน้าอกแต่กำเนิด
-
ผู้ที่สูญเสียมวลเนื้อเต้านมหลังการตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือลดน้ำหนักอย่างมาก
-
ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูรูปทรงหน้าอกหลังการผ่าตัดมะเร็งเต้านม
-
ผู้ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางเพศ (transgender) และต้องการปรับเปลี่ยนรูปร่างให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศ
อยากเสริมหน้าอก จะต้องใส่ขนาดกี่ CC ??
แพทย์จะเป็นผู้ประเมินจากโครงสร้างเดิม ขนาดและรูปทรงหน้าอกเดิม สัดส่วนโดยรวมของร่างกาย ความยืดหยุ่นของผิวหนัง เป้าหมายและความคาดหวังของคนไข้ แนะนำให้คนไข้เข้ามาปรึกษา
คุณหมอที่ Persona clinic เพื่อตรวจดูปริมาณCC ที่เหมาะสมกับสรีระคนไข้มากที่สุด
ซิลิโคนหน้าอกผิวเรียบ VS ซิลิโคนหน้าอกผิวทราย แตกต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่ากัน
หลายท่านคงอยากทราบว่าซิลิโคนหน้าอกผิวเรียบและผิวทรายนั้น
มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียต่างกันอย่างไร
วันนี้มาดูพร้อมกันได้เลยค่าาา
ซิลิโคนผิวเรียบ
-
พื้นผิว: เรียบ มัน
-
การเคลื่อนไหว: เคลื่อนตัวได้อิสระในช่องที่ฝัง
-
ความนุ่ม: มักให้ความรู้สึกนุ่มและเป็นธรรมชาติมากกว่า
-
อายุการใช้งาน: อาจต้องเปลี่ยนเร็วกว่าแบบผิวทราย
-
ความเสี่ยง: มีโอกาสเกิดภาวะแคปซูลหดรัด (capsular contracture) สูงกว่า
ซิลิโคนผิวทราย
-
พื้นผิว: ขรุขระคล้ายทราย
-
การเคลื่อนไหว: ยึดเกาะกับเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้เคลื่อนที่น้อยกว่า
-
ความนุ่ม: อาจรู้สึกแข็งกว่าเล็กน้อย
-
อายุการใช้งาน: มักอยู่ได้นานกว่าแบบผิวเรียบ
-
ความเสี่ยง: ลดโอกาสการเกิดภาวะแคปซูลหดรัด
ไม่มีแบบใดที่ดีกว่ากันโดยสมบูรณ์ การเลือกขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
-
สภาพร่างกายของผู้รับการผ่าตัด
-
ความต้องการและความคาดหวัง
-
คำแนะนำของศัลยแพทย์
-
ประวัติการแพ้หรือปฏิกิริยาต่อวัสดุทางการแพทย์
ปัจจุบัน มีการพัฒนาซิลิโคนรุ่นใหม่ที่ผสมผสานข้อดีของทั้งสองแบบ เช่น ซิลิโคนผิวเรียบนาโนหรือซิลิโคนผิวด้าน
สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมและเลือกชนิดที่เหมาะกับคุณมากที่สุด โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นหลัก
เทคนิคการวางตำแหน่งซิลิโคนมีอะไรบ้าง
และแบบไหนดีที่สุด!!!
1. ใต้ต่อมน้ำนม (Subglandular)
วางซิลิโคนระหว่างต่อมน้ำนมและกล้ามเนื้อหน้าอก
ข้อดี: การผ่าตัดและการฟื้นตัวง่ายกว่า ให้รูปทรงที่เป็นธรรมชาติ
ข้อเสีย: อาจเห็นขอบซิลิโคนชัดเจนในบางราย เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแคปซูลหดรัดสูงกว่า
2. ใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular)
วางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อหน้าอก
ข้อดี: ปกปิดขอบซิลิโคนได้ดี เสี่ยงต่อภาวะแคปซูลหดรัดน้อยกว่า
ข้อเสีย: การผ่าตัดซับซ้อนกว่า ระยะฟื้นตัวนานกว่า อาจเคลื่อนที่เมื่อเกร็งกล้ามเนื้อ
3. แบบผสม (Dual Plane)
วางซิลิโคนบางส่วนใต้กล้ามเนื้อ บางส่วนใต้ต่อมน้ำนม
ข้อดี: ผสมข้อดีของสองวิธีแรก ให้ความเป็นธรรมชาติสูง
ข้อเสีย: เทคนิคซับซ้อน ต้องการความเชี่ยวชาญสูง
4. ระนาบพังผืด (Subfascial)
วางซิลิโคนระหว่างกล้ามเนื้อหน้าอกและพังผืด
ข้อดี: ลดการเคลื่อนที่ของซิลิโคน ให้ความเป็นธรรมชาติ
ข้อเสีย: เทคนิคใหม่ ยังต้องการการศึกษาระยะยาว
การเลือกเทคนิคไหนที่เหมาะสมกับเรานั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
และมีปัจจัยอะไรบ้าง พร้อมแล้วอ่านต่อได้เลยค่ะ^^
-
โครงสร้างร่างกายของผู้รับการผ่าตัด
-
ขนาดและรูปทรงหน้าอกที่ต้องการ
-
ชนิดและขนาดของซิลิโคนที่ใช้
-
กิจกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้รับการผ่าตัด
-
ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์
ตำแหน่งแผลผ่าตัด มีกี่ตำแหน่ง
และมีข้อดีหรือข้อควรระวังอย่างไร
1. ใต้ราวนม (Inframammary Fold)
ข้อดี:
-
แผลซ่อนอยู่ใต้เต้านม มองเห็นยาก
-
ศัลยแพทย์เข้าถึงพื้นที่ผ่าตัดได้ง่าย ควบคุมการวางซิลิโคนได้แม่นยำ
-
เหมาะสำหรับซิลิโคนขนาดใหญ่
ข้อควรระวัง:
-
แผลอาจมองเห็นได้เมื่อนอนหงายหรือยกแขน
-
อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีหน้าอกเล็กมาก
2. รอบลานนม (Periareolar)
ข้อดี:
-
แผลซ่อนตัวได้ดีตามแนวขอบลานนม
-
เหมาะสำหรับการปรับขนาดลานนมไปพร้อมกัน
ข้อควรระวัง:
-
จำกัดขนาดซิลิโคนที่สามารถใส่ได้
-
อาจส่งผลต่อความรู้สึกของหัวนม
-
เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงกว่าตำแหน่งอื่น
3. รักแร้ (Transaxillary)
ข้อดี:
-
ไม่มีแผลเป็นบนหน้าอก
-
เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นแผลเป็นนูน
ข้อควรระวัง:
-
การควบคุมตำแหน่งซิลิโคนทำได้ยากกว่า
-
อาจจำเป็นต้องใช้กล้องส่องเพื่อความแม่นยำ
-
ไม่เหมาะกับซิลิโคนขนาดใหญ่มาก
4. สะดือ (Transumbilical)
ข้อดี:
-
ไม่มีแผลเป็นบนหน้าอกหรือใกล้เคียง
-
ฟื้นตัวเร็ว
ข้อควรระวัง:
-
ทำได้เฉพาะซิลิโคนเหลว ไม่สามารถใช้กับซิลิโคนเจล
-
ควบคุมตำแหน่งซิลิโคนได้ยาก
-
ไม่เหมาะกับการผ่าตัดแก้ไขหรือเปลี่ยนซิลิโคน
เสริมหน้าอก พร้อมยกกระชับทรวงอกได้หรือไม่
สามารถทำได้ การศัลยกรรมเสริมหน้าอกและศัลยกรรมผ่าตัดยกกระชับทรวงอกที่มีความหย่อนคล้อยพร้อมกับการทำหน้าอกได้เลย โดยคุณหมอจะประเมินจากความหย่อนคล้อยของคนไข้แต่ละบุคคนทำการผ่าตัดให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับโครงสร้างร่างกายของคนไข้
(Augmentation Mastopexy)
-
เหมาะสำหรับ
-
ผู้ที่มีหน้าอกหย่อนคล้อย แต่ต้องการเพิ่มขนาดด้วย
-
ผู้ที่ผ่านการตั้งครรภ์หรือลดน้ำหนักมาก ทำให้หน้าอกเสียรูปทรง
-
ผู้ที่ต้องการปรับปรุงรูปทรงและเพิ่มความอวบอิ่มของหน้าอก
-
-
ข้อดี
-
แก้ไขปัญหาได้ครบถ้วนในการผ่าตัดครั้งเดียว
-
ลดค่าใช้จ่ายและเวลาพักฟื้นเมื่อเทียบกับการทำแยกสองครั้ง
-
ให้ผลลัพธ์ที่สมดุลและเป็นธรรมชาติ
-
-
ข้อควรพิจารณา
-
เป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อนกว่าการทำแยก ต้องการความเชี่ยวชาญสูง
-
มีความเสี่ยงสูงกว่าการทำแยก เช่น ปัญหาการไหลเวียนเลือด
-
อาจมีแผลเป็นมากกว่าการเสริมหน้าอกธรรมดา
-
ระยะเวลาพักฟื้นอาจนานกว่าการทำแยก
-
วัดระดับ แบบไหนที่เรียกว่าหน้าอกหย่อนคล้อย
ระดับที่ 1 : หัวนมต่ำลงมาประมาณ 1 ซม. หรือตกลงมาบริเวณระดับเดียวกับร่องพับ
ระดับที่ 2 : หัวนมต่ำลงมาประมาณ 1 – 3 ซม. หรือตกลงมาบริเวณต่ำกว่าร่องพับ
ระดับที่ 3 : หัวนมต่ำลงมาเลยบริเวณร่องพับมากกว่า 3 ซม.
เทคนิคการยกกระชับหน้าอกมีกี่แบบ ?
1 หย่อนคล้อยระดับเล็กน้อย - เทคนิคแผลวงแหวน (Circumareolar หรือ Donut Lift)
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีการหย่อนคล้อยไม่มาก ต้องการยกหัวนมเพียงเล็กน้อย
ข้อดี: แผลเป็นน้อย สามารถปรับขนาดลานนมได้
ลักษณะแผล: รอบลานนม ซ่อนตัวได้ดี
2 หย่อนคล้อยระดับปานกลาง - เทคนิคแผลแนวตั้ง (Vertical หรือ Lollipop Lift)
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีการหย่อนคล้อยมากขึ้น ต้องการยกและปรับรูปทรงชัดเจน
ข้อดี: ยกหน้าอกได้มากกว่าแบบแรก สามารถปรับตำแหน่งหัวนมได้ดี
ลักษณะแผล: รอบลานนมและแนวตั้งลงมาถึงร่องใต้เต้านม
3 หย่อนคล้อยระดับมาก - เทคนิคแผลรูปสมอเรือ (Inverted-T หรือ Anchor Lift)
เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีการหย่อนคล้อยมากเป็นพิเศษ หรือมีหน้าอกขนาดใหญ่
ข้อดี: ปรับแต่งรูปทรงได้มากที่สุด กำจัดผิวหนังส่วนเกินได้มาก
ลักษณะแผล: รอบลานนม แนวตั้ง และตามแนวร่องใต้เต้านม
รู้ไว้ก่อน 📌
เสริมหน้าอกครั้งแรกมีกระบวนการผ่าตัดยังไงบ้าง ?
1. การตรวจร่างกายและประเมินก่อนการผ่าตัด
-
แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และสอบถามความต้องการของผู้ป่วย
-
วางแผนขนาด รูปทรง และตำแหน่งการฝังซิลิโคนที่เหมาะสม
2. การดมยาสลบ
-
ก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการดมยาสลบเพื่อให้หลับสนิทตลอดการผ่าตัด
3. การผ่าตัดฝังซิลิโคน
-
แพทย์จะผ่าตัดผ่านรอยแผลเล็กๆ บริเวณใต้รักแร้หรือใต้ราวนมเดิม
-
สร้างช่องว่างระหว่างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อใต้เต้านม
-
นำซิลิโคนหน้าอกที่เลือกไว้เข้าไปวางในช่องว่างนั้น
-
จัดวางให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและเย็บปิดแผลผ่าตัด
4. การพักฟื้น
-
หลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องสวมเสื้อรัดรูปพิเศษเพื่อบรรเทาอาการบวมและปวด
-
พักรักษาสักระยะหนึ่งเพื่อดูอาการ
-
หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือกิจกรรมหนักในระยะเวลาหนึ่ง
-
นัดติดตามอาการและผลหลังผ่าตัดกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
5. ดูแลหลังผ่าตัด
-
รักษาแผลผ่าตัดให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการถูกกระแทก
-
อาจมีอาการบวมและปวดบริเวณแผลบ้าง สามารถทานยาแก้ปวดได้
-
พักผ่อนให้เพียงพอ และค่อยๆ กลับมาทำกิจกรรมตามปกติ
-
สังเกตอาการผิดปกติหากมีอาการผิดปกติให้ปรึกษาแพทย์ทันที
วิธีเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก
-
ควรอาบน้ำสระผม ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดเรียบร้อยก่อนการผ่าตัด
-
สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย เช่นเสื้อที่มีกระดุมหน้า เพื่อให้ใส่และถอดง่ายปลอดภัยต่อแผลผ่าตัด
-
งดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น วิตามินเอ อี ซี น้ำมันปลา ก่อนรับบริการ 2 สัปดาห์
-
งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
-
งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอกอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
วิธีดูแลตัวเองหลังศัลยกรรมหน้าอก
หลังจากผ่านการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอกแล้ว การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีมีความสำคัญมากในการฟื้นฟูร่างกายและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
-
พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกแรงมากเกินไปในช่วงแรกหลังผ่าตัด พักผ่อนให้มากที่สุดเพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัว อาจต้องหยุดงานในระยะแรกตามคำแนะนำของแพทย์
-
สวมเสื้อรัดหน้าอกพิเศษ การสวมเสื้อรัดหน้าอกชนิดพิเศษจะช่วยรองรับน้ำหนักของหน้าอก จัดทรวดทรงให้เป็นรูปร่างที่ต้องการ ลดอาการบวมและปวดในระยะแรก สวมตลอด 24 ชั่วโมงยกเว้นเวลาอาบน้ำ
-
ดูแลแผลผ่าตัด เปลี่ยนผ้าก๊อซปิดแผลให้สะอาดตามคำแนะนำ หลีกเลี่ยงการเปียกน้ำของแผลจนกว่าจะหายดี ระวังอย่าให้แผลถูกกระแทกหรือถูกดึง
-
รับประทานยาและการนวด รับประทานยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาธาตุเหล็ก ตามแพทย์สั่ง อาจได้รับการนวดบริเวณนั้นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการบวม
-
หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย ในระยะ 4-6 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การยกของหนักหรือท่าที่ต้องใช้กล้ามท้องและอกมาก
-
สังเกตอาการผิดปกติ ถ้ามีอาการปวดบวมมากผิดปกติ ไข้สูง แผลบวมแดง มีน้ำเหลืองไหลจากแผล ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นอาการแทรกซ้อนได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัลยกรรมหน้าอก
เสริมหน้าอก ใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหนหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก
- ผู้รับบริการต้องพักฟื้นประมาณ 5-7 วัน โดยแผลจะเริ่มเข้าที่ภายใน 3-4 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาตนเองหลังผ่าตัด
ผ่าตัดเสริมหน้าอก ใช้เวลานานไหม กว่าจะเข้าที่
- สำหรับระยะเวลาที่หน้าอกจะเข้ารูปและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน ซึ่งอาจช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดและขนาดของซิลิโคนที่เลือกใช้
ผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรลางานกี่วัน และกี่วันทํางานได้
- ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดสามารถลาพักงานได้ 3-4 วันสำหรับงานเบา หรือ 2-3 สัปดาห์สำหรับงานที่ต้องใช้แรงมาก
การเสริมหน้าอก สามารถให้นมลูกได้หรือไม่
การเสริมหน้าอกไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำนมและสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ แม้หลังจากให้นมบุตรแล้วรูปทรงอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังคงสวยงามอยู่
ผู้ที่มีปัญหาเนื้อหน้าอกน้อย สามารถเสริมหน้าอกได้หรือไม่
- สำหรับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกจริงน้อย สามารถทำการเสริมได้โดยเลือกขนาดซิลิโคนให้เหมาะสม
อายุเท่าไหร่จึงจะสามารถเสริมหน้าอกได้
- สามารถทำการเสริมได้โดยเลือกขนาดซิลิโคนให้เหมาะสม ทั้งนี้อายุที่เหมาะสมควรอยู่ในช่วง 20 ปีขึ้นไป
การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน อยู่ได้กี่ปี
-ซิลิโคนที่ได้รับการออกแบบอย่างดีได้มาตรฐานสามารถอยู่ในร่างกาย ได้ตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะมีอาการข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดช่วง 10-20 ปี เช่นมีพังพืดหดรัด ต้องมาเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขรักษาต่อ