top of page
E3BAE67C7AECDD453D0F5DC384CAB3DAB136E8BE.jpeg

ศัลยกรรมเสริมหน้าอกกับ
PERSONA CLINIC

เสริมหน้าอก รู้ให้จริง เลือกให้เป็น สวยได้สบายใจ

การเสริมหน้าอกเป็นหนึ่งในศัลยกรรมตกแต่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากผู้หญิงจำนวนมากรู้สึกไม่มั่นใจกับรูปร่างหน้าอกของตนเอง และต้องการเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยเสริมรูปร่างให้ดูดีและสวยงามยิ่งขึ้น

การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนคืออะไร

การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเป็นหัตถการศัลยกรรมตกแต่งที่นิยมใช้เพื่อเพิ่มขนาดและปรับรูปทรงของหน้าอก โดยทั่วไปมีขั้นตอนดังนี้

  1. ศัลยแพทย์จะฝังถุงซิลิโคนเข้าไปใต้เนื้อเยื่อเต้านมหรือกล้ามเนื้อหน้าอก

  2. ถุงซิลิโคนมีหลายขนาดและรูปทรงให้เลือกตามความต้องการของผู้รับการผ่าตัด

  3. การผ่าตัดมักทำภายใต้การดมยาสลบ และใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

  4. ระยะพักฟื้นหลังผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์

ใครที่ควรเสริมหน้าอกบ้าง?

การตัดสินใจเสริมหน้าอกเป็นเรื่องส่วนบุคคลและควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยทั่วไป ผู้ที่อาจพิจารณาการเสริมหน้าอกได้แก่

  1. ผู้ที่ไม่พอใจกับขนาดหรือรูปทรงหน้าอกของตนเอง และมีความมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจ

  2. ผู้ที่มีหน้าอกไม่สมมาตรหรือมีความผิดปกติของรูปทรงหน้าอกแต่กำเนิด

  3. ผู้ที่สูญเสียมวลเนื้อเต้านมหลังการตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือลดน้ำหนักอย่างมาก

  4. ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูรูปทรงหน้าอกหลังการผ่าตัดมะเร็งเต้านม

  5. ผู้ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางเพศ (transgender) และต้องการปรับเปลี่ยนรูปร่างให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศ

อยากเสริมหน้าอก จะต้องใส่ขนาดกี่ CC ??

แพทย์จะเป็นผู้ประเมินจากโครงสร้างเดิม ขนาดและรูปทรงหน้าอกเดิม สัดส่วนโดยรวมของร่างกาย ความยืดหยุ่นของผิวหนัง เป้าหมายและความคาดหวังของคนไข้ แนะนำให้คนไข้เข้ามาปรึกษา

คุณหมอที่ Persona clinic เพื่อตรวจดูปริมาณCC ที่เหมาะสมกับสรีระคนไข้มากที่สุด

ซิลิโคนหน้าอกผิวเรียบ VS ซิลิโคนหน้าอกผิวทราย แตกต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่ากัน

ซิลิโคนเรียบ ทราย.jpg

หลายท่านคงอยากทราบว่าซิลิโคนหน้าอกผิวเรียบและผิวทรายนั้น
มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียต่างกันอย่างไร 
วันนี้มาดูพร้อมกันได้เลยค่าาา

ซิลิโคนผิวเรียบ

  1. พื้นผิว: เรียบ มัน

  2. การเคลื่อนไหว: เคลื่อนตัวได้อิสระในช่องที่ฝัง

  3. ความนุ่ม: มักให้ความรู้สึกนุ่มและเป็นธรรมชาติมากกว่า

  4. อายุการใช้งาน: อาจต้องเปลี่ยนเร็วกว่าแบบผิวทราย

  5. ความเสี่ยง: มีโอกาสเกิดภาวะแคปซูลหดรัด (capsular contracture) สูงกว่า

ซิลิโคนผิวทราย

  1. พื้นผิว: ขรุขระคล้ายทราย

  2. การเคลื่อนไหว: ยึดเกาะกับเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้เคลื่อนที่น้อยกว่า

  3. ความนุ่ม: อาจรู้สึกแข็งกว่าเล็กน้อย

  4. อายุการใช้งาน: มักอยู่ได้นานกว่าแบบผิวเรียบ

  5. ความเสี่ยง: ลดโอกาสการเกิดภาวะแคปซูลหดรัด

ไม่มีแบบใดที่ดีกว่ากันโดยสมบูรณ์ การเลือกขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

  • สภาพร่างกายของผู้รับการผ่าตัด

  • ความต้องการและความคาดหวัง

  • คำแนะนำของศัลยแพทย์

  • ประวัติการแพ้หรือปฏิกิริยาต่อวัสดุทางการแพทย์

ปัจจุบัน มีการพัฒนาซิลิโคนรุ่นใหม่ที่ผสมผสานข้อดีของทั้งสองแบบ เช่น ซิลิโคนผิวเรียบนาโนหรือซิลิโคนผิวด้าน

สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมและเลือกชนิดที่เหมาะกับคุณมากที่สุด โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นหลัก

เทคนิคการวางตำแหน่งซิลิโคนมีอะไรบ้าง
และแบบไหนดีที่สุด!!!

1. ใต้ต่อมน้ำนม (Subglandular)

วางซิลิโคนระหว่างต่อมน้ำนมและกล้ามเนื้อหน้าอก

ข้อดี: การผ่าตัดและการฟื้นตัวง่ายกว่า ให้รูปทรงที่เป็นธรรมชาติ

ข้อเสีย: อาจเห็นขอบซิลิโคนชัดเจนในบางราย เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแคปซูลหดรัดสูงกว่า

2. ใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular)

วางซิลิโคนใต้กล้ามเนื้อหน้าอก

ข้อดี: ปกปิดขอบซิลิโคนได้ดี เสี่ยงต่อภาวะแคปซูลหดรัดน้อยกว่า

ข้อเสีย: การผ่าตัดซับซ้อนกว่า ระยะฟื้นตัวนานกว่า อาจเคลื่อนที่เมื่อเกร็งกล้ามเนื้อ

3. แบบผสม (Dual Plane)

วางซิลิโคนบางส่วนใต้กล้ามเนื้อ บางส่วนใต้ต่อมน้ำนม

ข้อดี: ผสมข้อดีของสองวิธีแรก ให้ความเป็นธรรมชาติสูง

ข้อเสีย: เทคนิคซับซ้อน ต้องการความเชี่ยวชาญสูง

4. ระนาบพังผืด (Subfascial)

วางซิลิโคนระหว่างกล้ามเนื้อหน้าอกและพังผืด

ข้อดี: ลดการเคลื่อนที่ของซิลิโคน ให้ความเป็นธรรมชาติ

ข้อเสีย: เทคนิคใหม่ ยังต้องการการศึกษาระยะยาว

การเลือกเทคนิคไหนที่เหมาะสมกับเรานั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
และมีปัจจัยอะไรบ้าง พร้อมแล้วอ่านต่อได้เลยค่ะ^^

  • โครงสร้างร่างกายของผู้รับการผ่าตัด

  • ขนาดและรูปทรงหน้าอกที่ต้องการ

  • ชนิดและขนาดของซิลิโคนที่ใช้

  • กิจกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้รับการผ่าตัด

  • ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของศัลยแพทย์

ตำแหน่งแผลผ่าตัด มีกี่ตำแหน่ง
และมีข้อดีหรือข้อควรระวังอย่างไร

BCE6CC87629A06B3E153FAD1AF04EC39BD6BFE42.jpeg

1. ใต้ราวนม (Inframammary Fold)

 

ข้อดี:

  • แผลซ่อนอยู่ใต้เต้านม มองเห็นยาก

  • ศัลยแพทย์เข้าถึงพื้นที่ผ่าตัดได้ง่าย ควบคุมการวางซิลิโคนได้แม่นยำ

  • เหมาะสำหรับซิลิโคนขนาดใหญ่

ข้อควรระวัง:

  • แผลอาจมองเห็นได้เมื่อนอนหงายหรือยกแขน

  • อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีหน้าอกเล็กมาก

2. รอบลานนม (Periareolar)

 

ข้อดี:

  • แผลซ่อนตัวได้ดีตามแนวขอบลานนม

  • เหมาะสำหรับการปรับขนาดลานนมไปพร้อมกัน

ข้อควรระวัง:

  • จำกัดขนาดซิลิโคนที่สามารถใส่ได้

  • อาจส่งผลต่อความรู้สึกของหัวนม

  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงกว่าตำแหน่งอื่น

3. รักแร้ (Transaxillary)

 

ข้อดี:

  • ไม่มีแผลเป็นบนหน้าอก

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นแผลเป็นนูน

ข้อควรระวัง:

  • การควบคุมตำแหน่งซิลิโคนทำได้ยากกว่า

  • อาจจำเป็นต้องใช้กล้องส่องเพื่อความแม่นยำ

  • ไม่เหมาะกับซิลิโคนขนาดใหญ่มาก

4. สะดือ (Transumbilical)

ข้อดี:

  • ไม่มีแผลเป็นบนหน้าอกหรือใกล้เคียง

  • ฟื้นตัวเร็ว

ข้อควรระวัง:

  • ทำได้เฉพาะซิลิโคนเหลว ไม่สามารถใช้กับซิลิโคนเจล

  • ควบคุมตำแหน่งซิลิโคนได้ยาก

  • ไม่เหมาะกับการผ่าตัดแก้ไขหรือเปลี่ยนซิลิโคน

เสริมหน้าอก พร้อมยกกระชับทรวงอกได้หรือไม่

สามารถทำได้ การศัลยกรรมเสริมหน้าอกและศัลยกรรมผ่าตัดยกกระชับทรวงอกที่มีความหย่อนคล้อยพร้อมกับการทำหน้าอกได้เลย โดยคุณหมอจะประเมินจากความหย่อนคล้อยของคนไข้แต่ละบุคคนทำการผ่าตัดให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับโครงสร้างร่างกายของคนไข้

(Augmentation Mastopexy)

  • เหมาะสำหรับ

    • ผู้ที่มีหน้าอกหย่อนคล้อย แต่ต้องการเพิ่มขนาดด้วย

    • ผู้ที่ผ่านการตั้งครรภ์หรือลดน้ำหนักมาก ทำให้หน้าอกเสียรูปทรง

    • ผู้ที่ต้องการปรับปรุงรูปทรงและเพิ่มความอวบอิ่มของหน้าอก

  • ข้อดี

    • แก้ไขปัญหาได้ครบถ้วนในการผ่าตัดครั้งเดียว

    • ลดค่าใช้จ่ายและเวลาพักฟื้นเมื่อเทียบกับการทำแยกสองครั้ง

    • ให้ผลลัพธ์ที่สมดุลและเป็นธรรมชาติ

  • ข้อควรพิจารณา

    • เป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อนกว่าการทำแยก ต้องการความเชี่ยวชาญสูง

    • มีความเสี่ยงสูงกว่าการทำแยก เช่น ปัญหาการไหลเวียนเลือด

    • อาจมีแผลเป็นมากกว่าการเสริมหน้าอกธรรมดา

    • ระยะเวลาพักฟื้นอาจนานกว่าการทำแยก

วัดระดับ แบบไหนที่เรียกว่าหน้าอกหย่อนคล้อย

ระดับที่ 1 : หัวนมต่ำลงมาประมาณ 1 ซม. หรือตกลงมาบริเวณระดับเดียวกับร่องพับ

ระดับที่ 2 : หัวนมต่ำลงมาประมาณ 1 – 3 ซม. หรือตกลงมาบริเวณต่ำกว่าร่องพับ

ระดับที่ 3 : หัวนมต่ำลงมาเลยบริเวณร่องพับมากกว่า 3 ซม.

เทคนิคการยกกระชับหน้าอกมีกี่แบบ ?

1  หย่อนคล้อยระดับเล็กน้อย - เทคนิคแผลวงแหวน (Circumareolar หรือ Donut Lift)

เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีการหย่อนคล้อยไม่มาก ต้องการยกหัวนมเพียงเล็กน้อย

ข้อดี: แผลเป็นน้อย สามารถปรับขนาดลานนมได้

ลักษณะแผล: รอบลานนม ซ่อนตัวได้ดี

2  หย่อนคล้อยระดับปานกลาง - เทคนิคแผลแนวตั้ง (Vertical หรือ Lollipop Lift)

เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีการหย่อนคล้อยมากขึ้น ต้องการยกและปรับรูปทรงชัดเจน

ข้อดี: ยกหน้าอกได้มากกว่าแบบแรก สามารถปรับตำแหน่งหัวนมได้ดี

ลักษณะแผล: รอบลานนมและแนวตั้งลงมาถึงร่องใต้เต้านม

3  หย่อนคล้อยระดับมาก - เทคนิคแผลรูปสมอเรือ (Inverted-T หรือ Anchor Lift)

เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีการหย่อนคล้อยมากเป็นพิเศษ หรือมีหน้าอกขนาดใหญ่

ข้อดี: ปรับแต่งรูปทรงได้มากที่สุด กำจัดผิวหนังส่วนเกินได้มาก

ลักษณะแผล: รอบลานนม แนวตั้ง และตามแนวร่องใต้เต้านม

รู้ไว้ก่อน 📌

เสริมหน้าอกครั้งแรกมีกระบวนการผ่าตัดยังไงบ้าง ?

1. การตรวจร่างกายและประเมินก่อนการผ่าตัด

  • แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และสอบถามความต้องการของผู้ป่วย

  • วางแผนขนาด รูปทรง และตำแหน่งการฝังซิลิโคนที่เหมาะสม

2. การดมยาสลบ

  • ก่อนผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการดมยาสลบเพื่อให้หลับสนิทตลอดการผ่าตัด

3. การผ่าตัดฝังซิลิโคน

  • แพทย์จะผ่าตัดผ่านรอยแผลเล็กๆ บริเวณใต้รักแร้หรือใต้ราวนมเดิม

  • สร้างช่องว่างระหว่างกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อใต้เต้านม

  • นำซิลิโคนหน้าอกที่เลือกไว้เข้าไปวางในช่องว่างนั้น

  • จัดวางให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและเย็บปิดแผลผ่าตัด

4. การพักฟื้น

  • หลังผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องสวมเสื้อรัดรูปพิเศษเพื่อบรรเทาอาการบวมและปวด

  • พักรักษาสักระยะหนึ่งเพื่อดูอาการ

  • หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือกิจกรรมหนักในระยะเวลาหนึ่ง

  • นัดติดตามอาการและผลหลังผ่าตัดกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

5. ดูแลหลังผ่าตัด

  • รักษาแผลผ่าตัดให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการถูกกระแทก

  • อาจมีอาการบวมและปวดบริเวณแผลบ้าง สามารถทานยาแก้ปวดได้

  • พักผ่อนให้เพียงพอ และค่อยๆ กลับมาทำกิจกรรมตามปกติ

  • สังเกตอาการผิดปกติหากมีอาการผิดปกติให้ปรึกษาแพทย์ทันที

วิธีเตรียมตัวก่อนเสริมหน้าอก

1.png
  1. ควรอาบน้ำสระผม ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดเรียบร้อยก่อนการผ่าตัด

  2. สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย เช่นเสื้อที่มีกระดุมหน้า เพื่อให้ใส่และถอดง่ายปลอดภัยต่อแผลผ่าตัด

  3. งดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น วิตามินเอ อี ซี น้ำมันปลา ก่อนรับบริการ 2 สัปดาห์

  4. งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์

  5. งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดเสริมหน้าอกอย่างน้อย 6 ชั่วโมง

วิธีดูแลตัวเองหลังศัลยกรรมหน้าอก

หลังจากผ่านการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอกแล้ว การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีมีความสำคัญมากในการฟื้นฟูร่างกายและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกแรงมากเกินไปในช่วงแรกหลังผ่าตัด พักผ่อนให้มากที่สุดเพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัว อาจต้องหยุดงานในระยะแรกตามคำแนะนำของแพทย์

  2. สวมเสื้อรัดหน้าอกพิเศษ การสวมเสื้อรัดหน้าอกชนิดพิเศษจะช่วยรองรับน้ำหนักของหน้าอก จัดทรวดทรงให้เป็นรูปร่างที่ต้องการ ลดอาการบวมและปวดในระยะแรก สวมตลอด 24 ชั่วโมงยกเว้นเวลาอาบน้ำ

  3. ดูแลแผลผ่าตัด เปลี่ยนผ้าก๊อซปิดแผลให้สะอาดตามคำแนะนำ หลีกเลี่ยงการเปียกน้ำของแผลจนกว่าจะหายดี ระวังอย่าให้แผลถูกกระแทกหรือถูกดึง

  4. รับประทานยาและการนวด รับประทานยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาธาตุเหล็ก ตามแพทย์สั่ง อาจได้รับการนวดบริเวณนั้นเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการบวม

  5. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย ในระยะ 4-6 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การยกของหนักหรือท่าที่ต้องใช้กล้ามท้องและอกมาก

  6. สังเกตอาการผิดปกติ ถ้ามีอาการปวดบวมมากผิดปกติ ไข้สูง แผลบวมแดง มีน้ำเหลืองไหลจากแผล ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพราะอาจเป็นอาการแทรกซ้อนได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัลยกรรมหน้าอก

เสริมหน้าอก ใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหนหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอก

- ผู้รับบริการต้องพักฟื้นประมาณ 5-7 วัน โดยแผลจะเริ่มเข้าที่ภายใน 3-4 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาตนเองหลังผ่าตัด

 

ผ่าตัดเสริมหน้าอก ใช้เวลานานไหม กว่าจะเข้าที่

- สำหรับระยะเวลาที่หน้าอกจะเข้ารูปและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน ซึ่งอาจช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับเทคนิคการผ่าตัดและขนาดของซิลิโคนที่เลือกใช้

ผ่าตัดเสริมหน้าอก ควรลางานกี่วัน และกี่วันทํางานได้

- ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดสามารถลาพักงานได้ 3-4 วันสำหรับงานเบา หรือ 2-3 สัปดาห์สำหรับงานที่ต้องใช้แรงมาก

 

การเสริมหน้าอก สามารถให้นมลูกได้หรือไม่

การเสริมหน้าอกไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำนมและสามารถให้นมบุตรได้ตามปกติ แม้หลังจากให้นมบุตรแล้วรูปทรงอาจเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ยังคงสวยงามอยู่

 

ผู้ที่มีปัญหาเนื้อหน้าอกน้อย สามารถเสริมหน้าอกได้หรือไม่

- สำหรับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกจริงน้อย สามารถทำการเสริมได้โดยเลือกขนาดซิลิโคนให้เหมาะสม

 

อายุเท่าไหร่จึงจะสามารถเสริมหน้าอกได้

- สามารถทำการเสริมได้โดยเลือกขนาดซิลิโคนให้เหมาะสม ทั้งนี้อายุที่เหมาะสมควรอยู่ในช่วง 20 ปีขึ้นไป

 

การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคน อยู่ได้กี่ปี

 -ซิลิโคนที่ได้รับการออกแบบอย่างดีได้มาตรฐานสามารถอยู่ในร่างกาย ได้ตลอดชีวิต หรือจนกว่าจะมีอาการข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัดช่วง 10-20 ปี เช่นมีพังพืดหดรัด ต้องมาเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขรักษาต่อ

bottom of page