top of page

Biostimulator คืออะไร มียี่ห้อไหนบ้าง อยู่ได้นานไหม?(ไหมน้ำ)



Biostimulator คืออะไร?

Biostimulator เป็นนวัตกรรมการรักษาเพื่อความอ่อนเยาว์ที่ทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย โดยใช้สารที่มีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความกระชับ เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์

ความแตกต่างระหว่าง Biostimulator และฟิลเลอร์

  • Biostimulator: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ให้ผลลัพธ์ที่ค่อยๆ ดีขึ้นและคงอยู่ได้นาน

  • ฟิลเลอร์: เติมเต็มด้วยสารไฮยาลูโรนิก ให้ผลลัพธ์ทันที แต่สลายตัวเร็วกว่า


กลไกการทำงานของ Biostimulator

Biostimulator ทำงานผ่านกลไกสำคัญ 3 ขั้นตอน

  1. การกระตุ้นเซลล์

    • สารออกฤทธิ์จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์

    • เซลล์จะเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเอง

  2. การสร้างคอลลาเจน

    • เซลล์ไฟโบรบลาสต์ผลิตคอลลาเจนชนิดต่างๆ

    • เพิ่มการสร้างอีลาสตินและไฮยาลูโรนิก

  3. การฟื้นฟูโครงสร้างผิว

    • คอลลาเจนใหม่ช่วยเสริมความแข็งแรง

    • ปรับปรุงโครงสร้างและความยืดหยุ่นของผิว



ประเภทของ Biostimulator

ปัจจุบันมี Biostimulator หลายชนิดที่ได้รับการรับรอง ได้แก่

1. Poly-L-lactic Acid (PLLA)

  • แบรนด์ที่ได้รับความนิยม: Sculptra®, Juvelook®, Lenisna®

  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิด 1

  • เหมาะสำหรับการเพิ่มปริมาตรผิว

  • ผลลัพธ์คงอยู่ได้ 18-24 เดือน

  • ได้รับการรับรองจาก FDA

2. Calcium Hydroxylapatite (CaHA)

  • แบรนด์ที่ได้รับความนิยม: Radiesse®,HarmonyCa™

  • มีส่วนประกอบคล้ายแร่ธาตุในกระดูก

  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเข้มข้น

  • ผลลัพธ์คงอยู่ได้ 12-18 เดือน

  • เห็นผลเร็วกว่า PLLA

3. PCL (Polycaprolactone)

  • แบรนด์ที่ได้รับความนิยม: Ellansé®

  • เทคโนโลยีล่าสุดในกลุ่ม Biostimulator

  • ผสมผสานการเติมเต็มและกระตุ้นคอลลาเจน

  • ผลลัพธ์คงอยู่ได้ถึง 24-36 เดือน

  • มีให้เลือกหลายระดับความคงทน (S, M, L, E)


Biostimulator ที่ได้รับความนิยมในปัจุบัน



1. Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบหลักคือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารที่เข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อในร่างกายมนุษย์

จุดเด่นของ Sculptra

  1. สลายตัวได้เองตามธรรมชาติ

  2. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติ

  3. ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

  4. สามารถออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลได้

ประโยชน์ของ Sculptra

  1. ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว

  2. ทำให้ผิวแน่นอิ่มฟู

  3. ยกกระชับบริเวณที่หย่อนคล้อย

  4. ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม



2. Radiesse เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนรุ่นใหม่ที่แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป โดยมีสารสำคัญคือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ (CaHA) หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "คาห้า" แทนที่จะเป็นกรดไฮยาลูโรนิก (HA) เหมือนฟิลเลอร์ทั่วไป

จุดเด่นของ Radiesse

  1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  2. เข้ากับร่างกายได้ดีเพราะมีส่วนประกอบคล้ายกระดูก

  3. ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย

  4. ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

ประโยชน์ของ Radiesse

  1. เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวโดยตรง

  2. เร่งกระบวนการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ

  3. ช่วยฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่

  4. ทำให้ผิวแข็งแรงและกระชับขึ้น


3. Ultracol หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ไหมน้ำ" เป็นนวัตกรรมที่ใช้สาร PDO (Polydioxanone microsphere) ซึ่งเป็นวัสดุชนิดเดียวกับไหมละลายที่ใช้ในการเย็บแผลผ่าตัด



4. Lenisna เป็นนวัตกรรมสาร Hybrid biostimulator ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย มีองค์ประกอบสำคัญคือ PDLLA ปริมาณ 170 มิลลิกรัม และ Noncrosslinked HA 30 gm ที่มีคุณสมบัติเหลวแต่คงตัวได้ดี

ประโยชน์ของ Lenisna

  1. ได้รับการรับรอง CE Mark , KFDA

  2. กระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างเป็นธรรมชาติ

  3. เติมเต็มใบหน้าให้อิ่มฟู

  4. เพื่อความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย HA 30 mg

  5. เหมาะสำหรับการฉีดใต้ชั้นผิว

  6. ไม่มีการตกค้างหลังการฉีด

  7. ปลอดภัยสูงด้วยมาตรฐานการผลิตระดับสากล


5.JUVELOOK คือผลิตภัณฑ์คอลลาเจนบูสเตอร์ที่รวมประสิทธิภาพของสองสารสำคัญ: กรดไฮยาลูโรนิกแบบ Noncrosslinked และ Poly D, L Lactide โดยมีขนาดอนุภาคระหว่าง 10-40 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นสารบริสุทธิ์ที่ไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมและมีความเข้ากันได้ดีกับร่างกาย

ประโยชน์ของ Juvelook

  1. กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว

  2. เพิ่มความชุ่มชื้นและความอิ่มฟูให้ผิว

  3. ปรับสีผิวให้กระจ่างใส

  4. ลดเลือนริ้วรอยและตำหนิผิว

  5. เติมเต็มร่องลึกและรอยแผลเป็น

  6. แก้ไขปัญหาหลุมสิว



6.HArmonyCa™  คือ Hybrid Filler ที่ออกฤทธิ์ผ่านสองกลไก ทั้งการเติมเติมใบหน้า และการกระตุ้นคอลลาเจน เป็น Dual Effect ที่ไม่ใช่แค่ช่วยยกกระชับผิวและเติมเต็มในระยะสั้น แต่ได้ผลของการฟื้นฟูผิวในระยะยาวด้วย HArmonyCa™ ใช้เทคโนโลยีการผสมผสาน ของสาร 2 ชนิด คือ กรดไฮยาลูโรนิก (HA) และ สารแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA) 

ประโยชน์ของ HArmonyCa™

  1. เติมเต็มรูปหน้าให้เข้ารูป

  2. ยกกระชับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ

  3. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว

  4. ฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระยะยาว

  5. ประหยัดเวลาด้วยการรักษาครั้งเดียว

  6. ได้ผลลัพธ์ครอบคลุมทั้งการเติมเต็มและฟื้นฟูผิว

  7. ผ่านการวิจัยและพัฒนามาอย่างยาวนาน

  8. ปลอดภัยด้วยส่วนผสมที่ผ่านการรับรอง



7.Gouri คือสาร PCL (Polycaprolactone) ระดับพรีเมียม มีประวัติการใช้ในไหมละลายทางการแพทย์มากกว่า 10 ปี เป็นของเหลวสำหรับฉีดที่มีโมเลกุลสูง สามารถกระจายตัวได้ทั่วใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ กลไกการทำงาน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพตามวัย เพิ่มความหนาและความแข็งแรงของชั้นผิว ปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิว

ประโยชน์ของ Gouri

  1. แก้ปัญหาริ้วรอยที่ Botox ไม่สามารถแก้ไขได้

  2. เพิ่มความกระชับและความเรียบเนียนของผิว

  3. ลดขนาดรูขุมขน

  4. ลดเม็ดสีที่ทำให้เกิดฝ้าและรอยดำ

  5. บรรเทาอาการผิวอักเสบ เช่น โรคโรซาเชีย

  6. เป็น PCL ชนิดแรกที่อยู่ในรูปของเหลวสำหรับฉีด

  7. ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลมาก

  8. ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

  9. ปลอดภัยและได้ผลในระยะยาว


ข้อบ่งชี้และประโยชน์

Biostimulator เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาต่อไปนี้

  1. ผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ

  2. ริ้วรอยลึก โดยเฉพาะร่องแก้มและร่องข้างปาก

  3. ผิวบางและขาดความยืดหยุ่น

  4. ต้องการปรับรูปหน้าให้มีมิติ

  5. แก้ไขรอยหลุมสิวหรือแผลเป็น

ประโยชน์ที่ได้รับ

  • ผิวกระชับ เต่งตึงขึ้น

  • ลดเลือนริ้วรอย

  • เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

  • ปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์

  • ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นาน


กระบวนการรักษา

  1. การปรึกษาแพทย์

    • ประเมินสภาพผิวและความต้องการ

    • เลือกชนิด Biostimulator ที่เหมาะสม

    • วางแผนการรักษา

  2. ขั้นตอนการรักษา

    • ทำความสะอาดผิวและทายาชา

    • ฉีด Biostimulator ตามตำแหน่งที่กำหนด

    • นวดเบาๆ เพื่อกระจายตัวสาร

    • ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที

  3. จำนวนครั้งที่แนะนำ

    • โดยทั่วไป 1-3 ครั้ง

    • ห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์

    • อาจต้องทำทรีทเมนต์ซ้ำทุก 1-2 ปี


การเตรียมตัวและการดูแลหลังทำ

การเตรียมตัวก่อนทำ

  1. งดการใช้ยาละลายลิ่มเลือด 7 วัน

  2. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง

  3. แจ้งประวัติการแพ้ยากับแพทย์

  4. งดผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวบอบบาง

การดูแลหลังทำ

  1. ประคบเย็นเพื่อลดการบวม

  2. หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด 1 สัปดาห์

  3. งดการออกกำลังกายหนัก 24-48 ชั่วโมง

  4. ทาครีมกันแดดเมื่อออกแดด

  5. ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ผลข้างเคียงที่พบได้:

  • รอยช้ำและบวม

  • แดงเล็กน้อย

  • เจ็บหรือระคายเคือง

  • อาการคันบริเวณที่ฉีด

อาการเหล่านี้มักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

ข้อควรระวังและข้อห้าม

ไม่ควรทำ Biostimulator ในกรณี:

  • กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

  • มีการติดเชื้อบริเวณที่จะทำการรักษา

  • มีโรคภูมิแพ้รุนแรง

  • มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด

  • มีโรคออโตอิมมูน


คำถามที่พบบ่อย

Q: ผลลัพธ์จะเห็นได้เมื่อไหร่?

A: เริ่มเห็นผลตั้งแต่ 4-6 สัปดาห์หลังการรักษา และดีขึ้นต่อเนื่องถึง 6 เดือน

Q: เจ็บมากไหม?

A: มีความเจ็บปวดน้อย เนื่องจากมีการทายาชาก่อนทำ

Q: ต่างจากฟิลเลอร์อย่างไร?

A: Biostimulator กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ให้ผลลัพธ์ที่คงทนกว่า

Q: ต้องทำกี่ครั้ง?

A: ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการ โดยทั่วไป 1-3 ครั้ง

Q: ค่าใช้จ่ายในการทำ Biostimulator ประมาณเท่าไหร่?

A: ราคาเริ่มต้นประมาณ 15,000-45,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของ Biostimulator และปริมาณที่ใช้

Q: สามารถทำร่วมกับทรีตเมนต์อื่นได้หรือไม่?

A: สามารถทำร่วมกับทรีตเมนต์อื่นได้ เช่น โบท็อกซ์ เลเซอร์ หรือ อัลตร้าซาวด์ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

Q: อายุเท่าไหร่จึงเหมาะสมกับการทำ Biostimulator?

A: เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือต้องการป้องกันริ้วรอย

Q: หากไม่พอใจผลลัพธ์สามารถแก้ไขได้หรือไม่?

A: Biostimulator เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ จึงไม่สามารถสลายได้เหมือนฟิลเลอร์ แต่ผลลัพธ์มักเป็นธรรมชาติและค่อยๆ ดีขึ้น

Q: ทำแล้วสามารถกลับไปทำงานได้ทันทีหรือไม่?

A: สามารถกลับไปทำงานได้ทันที แต่อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งสามารถปกปิดด้วยเครื่องสำอางได้

Q: มีความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้หรือไม่?

A: ความเสี่ยงในการแพ้ต่ำมาก เนื่องจาก Biostimulator ผลิตจากสารสังเคราะห์ที่ปลอดภัยและผ่านการรับรองมาตรฐาน แต่ควรแจ้งประวัติการแพ้ให้แพทย์ทราบก่อนทำ

Q: ควรเว้นระยะห่างเท่าไหร่ในการทำครั้งต่อไป?

A: โดยทั่วไปควรเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ระหว่างการทำแต่ละครั้ง และอาจต้องทำทรีตเมนต์ซ้ำทุก 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของ Biostimulator ที่เลือกใช้


สรุป

Biostimulator เป็นนวัตกรรมการรักษาที่ช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของผิวโดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นาน อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับแต่ละบุคคล

Comments


ปรึกษาแพทย์ persona clinic
bottom of page