

โปรแกรม Biostimulator คืออะไร มียี่ห้อไหนบ้าง
อยู่ได้นานไหม?
นวัตกรรมความงามในยุคปัจจุบันได้ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วย Biostimulator - เทคโนโลยีการกระตุ้นคอลลาเจนที่ปฏิวัติวงการความงาม ต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ทั่วไปที่เน้นการเติมเต็ม Biostimulator ทำงานด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย ช่วยฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอกอย่างเป็นระบบ เมื่อวัยที่เพิ่มขึ้น การผลิตคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย และขาดความยืดหยุ่น Biostimulator จึงเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาความร่วงโรยของผิวได้อย่างตรงจุด ด้วยการทำงานที่เลียนแบบกระบวนการธรรมชาติ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรง กระชับ และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
สารบัญ Biostimulator สามารถเลือดอ่านบทความที่สนใจได้เลยค่ะ

โปรแกรม Biostimulator คืออะไร ?
โปรแกรม Biostimulator เป็นนวัตกรรมการรักษาเพื่อความอ่อนเยาว์ที่ทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย โดยใช้สารที่มีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ให้ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความกระชับ เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์
ความแตกต่างระหว่าง โปรแกรม Biostimulator และโปรแกรม ฟิลเลอร์

กลไกการทำงานของ Biostimulator
Biostimulator ทำงานผ่านกลไกสำคัญ 3 ขั้นตอน
-
การกระตุ้นเซลล์
-
สารออกฤทธิ์จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์
-
เซลล์จะเริ่มกระบวนการซ่อมแซมตัวเอง
-
-
การสร้างคอลลาเจน
-
เซลล์ไฟโบรบลาสต์ผลิตคอลลาเจนชนิดต่างๆ
-
เพิ่มการสร้างอีลาสตินและไฮยาลูโรนิก
-
-
การฟื้นฟูโครงสร้างผิว
-
คอลลาเจนใหม่ช่วยเสริมความแข็งแรง
-
ปรับปรุงโครงสร้างและความยืดหยุ่นของผิว
-

ประเภทของ Biostimulator
1. Poly-L-lactic Acid (PLLA)
-
แบรนด์ที่ได้รับความนิยม: Sculptra®, Juvelook®, Lenisna®
-
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิด 1
-
เหมาะสำหรับการเพิ่มปริมาตรผิว
-
ผลลัพธ์คงอยู่ได้ 18-24 เดือน
-
ได้รับการรับรองจาก FDA
2. Calcium Hydroxylapatite (CaHA)
-
แบรนด์ที่ได้รับความนิยม: Radiesse®,HarmonyCa™
-
มีส่วนประกอบคล้ายแร่ธาตุในกระดูก
-
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเข้มข้น
-
ผลลัพธ์คงอยู่ได้ 12-18 เดือน
-
เห็นผลเร็วกว่า PLLA
3. PCL (Polycaprolactone)
-
แบรนด์ที่ได้รับความนิยม: Ellansé®
-
เทคโนโลยีล่าสุดในกลุ่ม Biostimulator
-
ผสมผสานการเติมเต็มและกระตุ้นคอลลาเจน
-
ผลลัพธ์คงอยู่ได้ถึง 24-36 เดือน
-
มีให้เลือกหลายระดับความคงทน (S, M, L, E)
Biostimulator ที่ได้รับความนิยมในปัจุบัน

1. โปรแกรม Sculptra เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนที่มีส่วนประกอบหลักคือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ซึ่งเป็นสารที่เข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อในร่างกายมนุษย์
จุดเด่นของโปรแกรม Sculptra
-
สลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
-
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติ
-
ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
-
สามารถออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคลได้
ประโยชน์ของโปรแกรม Sculptra
-
ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว
-
ทำให้ผิวแน่นอิ่มฟู
-
ยกกระชับบริเวณที่หย่อนคล้อย
-
ปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม

2. โปรแกรม Radiesse เป็นสารกระตุ้นคอลลาเจนรุ่นใหม่ที่แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป โดยมีสารสำคัญคือ แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทด์ (CaHA) หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "คาห้า" แทนที่จะเป็นกรดไฮยาลูโรนิก (HA) เหมือนฟิลเลอร์ทั่วไป
จุดเด่นของโปรแกรม Radiesse
-
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
เข้ากับร่างกายได้ดีเพราะมีส่วนประกอบคล้ายกระดูก
-
ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่าย
-
ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
ประโยชน์ของโปรแกรม Radiesse
-
เข้าไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวโดยตรง
-
เร่งกระบวนการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ
-
ช่วยฟื้นฟูการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
-
ทำให้ผิวแข็งแรงและกระชับขึ้น
3. โปรแกรม Ultracol หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ไหมน้ำ" เป็นนวัตกรรมที่ใช้สาร PDO (Polydioxanone microsphere) ซึ่งเป็นวัสดุชนิดเดียวกับไหมละลายที่ใช้ในการเย็บแผลผ่าตัด

4. โปรแกรม Lenisna เป็นนวัตกรรมสาร Hybrid biostimulator ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย มีองค์ประกอบสำคัญคือ PDLLA ปริมาณ 170 มิลลิกรัม และ Noncrosslinked HA 30 gm ที่มีคุณสมบัติเหลวแต่คงตัวได้ดี
ประโยชน์ของโปรแกรม Lenisna
-
ได้รับการรับรอง CE Mark , KFDA
-
กระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างเป็นธรรมชาติ
-
เติมเต็มใบหน้าให้อิ่มฟู
-
เพื่อความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย HA 30 mg
-
เหมาะสำหรับการฉีดใต้ชั้นผิว
-
ไม่มีการตกค้างหลังการฉีด
-
ปลอดภัยสูงด้วยมาตรฐานการผลิตระดับสากล
5.โปรแกรม JUVELOOK คือผลิตภัณฑ์คอลลาเจนบูสเตอร์ที่รวมประสิทธิภาพของสองสารสำคัญ: กรดไฮยาลูโรนิกแบบ Noncrosslinked 7.5 g และ Poly D, L Lactide 42.5 g โดยมีขนาดอนุภาคระหว่าง 10-40 ไมโครเมตร ซึ่งเป็นสารบริสุทธิ์ที่ไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรมและมีความเข้ากันได้ดีกับร่างกาย
ประโยชน์ของโปรแกรม Juvelook
-
กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว
-
เพิ่มความชุ่มชื้นและความอิ่มฟูให้ผิว
-
ปรับสีผิวให้กระจ่างใส
-
ลดเลือนริ้วรอยและตำหนิผิว
-
เติมเต็มร่องลึกและรอยแผลเป็น
-
แก้ไขปัญหาหลุมสิว

6.โปรแกรม HArmonyCa™ คือ Hybrid Filler ที่ออกฤทธิ์ผ่านสองกลไก ทั้งการเติมเติมใบหน้า และการกระตุ้นคอลลาเจน เป็น Dual Effect ที่ไม่ใช่แค่ช่วยยกกระชับผิวและเติมเต็มในระยะสั้น แต่ได้ผลของการฟื้นฟูผิวในระยะยาวด้วย HArmonyCa™ ใช้เทคโนโลยีการผสมผสาน ของสาร 2 ชนิด คือ กรดไฮยาลูโรนิก (HA) และ สารแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (CaHA)
ประโยชน์ของโปรแกรม HArmonyCa™
-
เติมเต็มรูปหน้าให้เข้ารูป
-
ยกกระชับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
-
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว
-
ฟื้นฟูโครงสร้างผิวในระยะยาว
-
ประหยัดเวลาด้วยการรักษาครั้งเดียว
-
ได้ผลลัพธ์ครอบคลุมทั้งการเติมเต็มและฟื้นฟูผิว
-
ผ่านการวิจัยและพัฒนามาอย่างยาวนาน
-
ปลอดภัยด้วยส่วนผสมที่ผ่านการรับรอง

7.โปรแกรม Gouri คือสาร PCL (Polycaprolactone) ระดับพรีเมียม มีประวัติการใช้ในไหมละลายทางการแพทย์มากกว่า 10 ปี เป็นของเหลวสำหรับฉีดที่มีโมเลกุลสูง สามารถกระจายตัวได้ทั่วใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ กลไกการทำงาน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ฟื้นฟูโครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพตามวัย เพิ่มความหนาและความแข็งแรงของชั้นผิว ปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิว
ประโยชน์ของโปรแกรม Gouri
-
แก้ปัญหาริ้วรอยที่ Botox ไม่สามารถแก้ไขได้
-
เพิ่มความกระชับและความเรียบเนียนของผิว
-
ลดขนาดรูขุมขน
-
ลดเม็ดสีที่ทำให้เกิดฝ้าและรอยดำ
-
บรรเทาอาการผิวอักเสบ เช่น โรคโรซาเชีย
-
เป็น PCL ชนิดแรกที่อยู่ในรูปของเหลวสำหรับฉีด
-
ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลมาก
-
ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
-
ปลอดภัยและได้ผลในระยะยาว
ข้อบ่งชี้และประโยชน์
โปรแกรม Biostimulator เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาต่อไปนี้
-
ผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
-
ริ้วรอยลึก โดยเฉพาะร่องแก้มและร่องข้างปาก
-
ผิวบางและขาดความยืดหยุ่น
-
ต้องการปรับรูปหน้าให้มีมิติ
-
แก้ไขรอยหลุมสิวหรือแผลเป็น
ประโยชน์ที่ได้รับ
-
ผิวกระชับ เต่งตึงขึ้น
-
ลดเลือนริ้วรอย
-
เพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
-
ปรับโครงสร้างใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์
-
ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นาน
กระบวนการรักษา
1. การปรึกษาแพทย์
-
ประเมินสภาพผิวและความต้องการ
-
เลือกชนิด Biostimulator ที่เหมาะสม
-
วางแผนการรักษา
2. ขั้นตอนการรักษา
-
ทำความสะอาดผิวและทายาชา
-
ฉีด Biostimulator ตามตำแหน่งที่กำหนด
-
นวดเบาๆ เพื่อกระจายตัวสาร
-
ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
3. จำนวนครั้งที่แนะนำ
-
โดยทั่วไป 1-3 ครั้ง
-
ห่างกันครั้งละ 4-6 สัปดาห์
-
อาจต้องทำทรีทเมนต์ซ้ำทุก 1-2 ปี

การเตรียมตัวและการดูแลหลังทำ
การเตรียมตัวก่อนทำ
-
งดการใช้ยาละลายลิ่มเลือด 7 วัน
-
หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
-
แจ้งประวัติการแพ้ยากับแพทย์
-
งดผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวบอบบาง
การดูแลหลังทำ
-
ประคบเย็นเพื่อลดการบวม
-
หลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีด 1 สัปดาห์
-
งดการออกกำลังกายหนัก 24-48 ชั่วโมง
-
ทาครีมกันแดดเมื่อออกแดด
-
ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ผลข้างเคียงที่พบได้:
-
รอยช้ำและบวม
-
แดงเล็กน้อย
-
เจ็บหรือระคายเคือง
-
อาการคันบริเวณที่ฉีด
อาการเหล่านี้มักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
ข้อควรระวังและข้อห้าม
ไม่ควรทำ Biostimulator ในกรณี:
-
กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
-
มีการติดเชื้อบริเวณที่จะทำการรักษา
-
มีโรคภูมิแพ้รุนแรง
-
มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด
-
มีโรคออโตอิมมูน
คำถามที่พบบ่อย
Q: ผลลัพธ์จะเห็นได้เมื่อไหร่?
A: เริ่มเห็นผลตั้งแต่ 4-6 สัปดาห์หลังการรักษา และดีขึ้นต่อเนื่องถึง 6 เดือน
Q: เจ็บมากไหม?
A: มีความเจ็บปวดน้อย เนื่องจากมีการทายาชาก่อนทำ
Q: ต่างจากฟิลเลอร์อย่างไร?
A: Biostimulator กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ให้ผลลัพธ์ที่คงทนกว่า
Q: ต้องทำกี่ครั้ง?
A: ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการ โดยทั่วไป 1-3 ครั้ง
Q: ค่าใช้จ่ายในการทำ Biostimulator ประมาณเท่าไหร่?
A: ราคาเริ่มต้นประมาณ 15,000-45,000 บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของ Biostimulator และปริมาณที่ใช้
Q: สามารถทำร่วมกับทรีตเมนต์อื่นได้หรือไม่?
A: สามารถทำร่วมกับทรีตเมนต์อื่นได้ เช่น โบท็อกซ์ เลเซอร์ หรือ อัลตร้าซาวด์ แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
Q: อายุเท่าไหร่จึงเหมาะสมกับการทำ Biostimulator?
A: เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือต้องการป้องกันริ้วรอย
Q: หากไม่พอใจผลลัพธ์สามารถแก้ไขได้หรือไม่?
A: Biostimulator เป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ จึงไม่สามารถสลายได้เหมือนฟิลเลอร์ แต่ผลลัพธ์มักเป็นธรรมชาติและค่อยๆ ดีขึ้น
Q: ทำแล้วสามารถกลับไปทำงานได้ทันทีหรือไม่?
A: สามารถกลับไปทำงานได้ทันที แต่อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งสามารถปกปิดด้วยเครื่องสำอางได้
Q: มีความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้หรือไม่?
A: ความเสี่ยงในการแพ้ต่ำมาก เนื่องจาก Biostimulator ผลิตจากสารสังเคราะห์ที่ปลอดภัยและผ่านการรับรองมาตรฐาน แต่ควรแจ้งประวัติการแพ้ให้แพทย์ทราบก่อนทำ
Q: ควรเว้นระยะห่างเท่าไหร่ในการทำครั้งต่อไป?
A: โดยทั่วไปควรเว้นระยะห่าง 4-6 สัปดาห์ระหว่างการทำแต่ละครั้ง และอาจต้องทำทรีตเมนต์ซ้ำทุก 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของ Biostimulator ที่เลือกใช้
Biostimulator เป็นนวัตกรรมการรักษาที่ช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของผิวโดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นาน อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษาที่เหมาะกับแต่ละบุคคล
บทความที่น่าสนใจ สามารถเลือกอ่านได้เลยค่ะ
-
โปรแกรมโบท็อก
-
โปรแกรมฟิลเลอร์
-
โปรแกรมลดไขมัน
-
โปรแกรม HIFU
-
โปรแกรม ULTRAFORMER lll
-
โปรแกรม Duo skin lifting
-
โปรแกรม Biostimulator
-
โปรแกรมเลเซอร์หน้าใส
-
โปรแกรมเลเซอร์ขนรักแร้
-
โปรแกรมรักษาหลุมสิว
-
โปรแกรมวิตามินบำรุงผิว
-
โปรแกรมทรีตเม้นต์บำรุงผิว
-
โปรแกรมรักษาสิวอักเสบเร่งด่วน
-
โปรแกรมสลายฟิลเลอร์
-
ผลิตภัณฑ์ดูเเลผิวเวชสำอาง