top of page
E8519D8285D56E36E829D19062C9A47900A69607.jpeg

ปัญหาหลุมสิว ผิวไม่เรียบเนียน สามารถดูแลรักษาได้อย่างไร?

หลุมสิวคืออะไร?? 

หลุมสิว หรือที่เรียกในทางการแพทย์ว่า Atrophic Acne Scars คือรอยแผลเป็นที่เกิดบนผิวหนังหลังจากการอักเสบของสิว โดยมีลักษณะเป็นรอยบุ๋มหรือหลุมตื้นๆ บนผิวหนัง หลุมสิวทำให้ผิวหน้าดูไม่เรียบเนียน อาจจะมีรอยแดง รวยดำของหลุมสิวร่วมด้วย และอาจส่งผลต่อความมั่นใจของผู้ที่มีปัญหานี้ได้

รักษาหลุมสิวด้วยวิธีไหนได้บ้าง?

การรักษาหลุมสิวมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของรอยแผลเป็นและสภาพผิวของแต่ละคน ทั้งนี้ การเลือกวิธีรักษาควรปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินสภาพผิวและเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงวิธีที่ต้องใช้ระยะเวลา ขึ้นอยู่กับว่าคนไข้เป็นหลุมสิวแบบไหนและหลุมสิวนั้น เกิดจากสาเหตุอะไร ที่สำคัญหลุมสิวมีระดับความตื้น-ลึก ที่ความแตกต่างกัน ส่งผลต่อการเลือกวิธีรักษาหลุมสิว และระยะเวลาเห็นผล

หลุมสิวเกิดขึ้นได้อย่างไร

หลุมสิวเกิดขึ้นจากกระบวนการอักเสบและการหายของสิว โดยมีสาเหตุและกลไกดังนี้

1. การอักเสบของสิว

   - เมื่อสิวอักเสบร่างกายจะส่งเซลล์ภูมิคุ้มกันมาต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย

   - กระบวนการนี้ทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อโดยรอบ

 

2. การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน

   - การอักเสบทำให้เกิดการสูญเสียโปรตีนสำคัญในผิวหนัง

   - ส่งผลให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและความแข็งแรง

 

3. การหายของแผลที่ไม่สมบูรณ์

   - เมื่อสิวหาย ร่างกายพยายามซ่อมแซมบาดแผล

   - หากกระบวนการนี้ไม่สมบูรณ์ จะทำให้เกิดรอยบุ๋มหรือหลุม

 

4. การบีบหรือแกะสิว

   - การบีบหรือแกะสิวทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติมต่อผิวหนัง

   - เพิ่มโอกาสการเกิดแผลเป็นและหลุมสิว

 

5. ปัจจัยทางพันธุกรรม

   - บางคนมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดหลุมสิวได้ง่าย

 

6. ความรุนแรงของสิว

   - สิวที่มีการอักเสบรุนแรงมีโอกาสทำให้เกิดหลุมสิวมากกว่า

 

7. การดูแลรักษาที่ไม่เหมาะสม

   - การไม่รักษาสิวตั้งแต่ระยะแรกหรือการใช้วิธีรักษาที่ไม่เหมาะสม

 

8. อายุและสภาพผิว

   - ผิวที่มีอายุมากขึ้นหรือผิวที่ขาดการดูแลอาจเกิดหลุมสิวได้ง่าย

การป้องกันการเกิดหลุมสิวทำได้โดยการรักษาสิวอย่างถูกวิธีตั้งแต่ระยะแรก หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ หากมีปัญหาสิวรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

สาเหตุหลุมสิว

ประเภทของหลุมสิว

หลุมสิวมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักดังนี้:

 

1. หลุมสิวแบบ Boxcar (รูปกล่อง)

   - ลักษณะ: เป็นรอยบุ๋มที่มีขอบชัดเจน คล้ายรอยแผลจากไก่สวัด

   - ขนาด: อาจมีขนาดตื้นหรือลึก

   - สาเหตุ: มักเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินในบริเวณกว้าง

 

2. หลุมสิวแบบ Ice pick (รูปกรวย)

   - ลักษณะ: เป็นรอยลึกแคบ คล้ายรูเข็ม

   - ขนาด: มักมีความลึกมากกว่าความกว้าง

   - สาเหตุ: เกิดจากการอักเสบที่ลุกลามลงลึกใต้ผิวหนัง

 

3. หลุมสิวแบบ Rolling (รูปคลื่น)

   - ลักษณะ: เป็นรอยบุ๋มกว้างที่มีขอบมน ทำให้ผิวดูเป็นคลื่น

   - ขนาด: มักมีขนาดใหญ่กว่าประเภทอื่น

   - สาเหตุ: เกิดจากการยึดตัวของเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง

ชนิดของหลุมสิว
  • Icepick Scars : รักษาได้ดีที่สุดด้วย TCA Cross หรือ Fractional CO2 lasers

  • Boxcar : รักษาได้ดีที่สุดด้วย Fractional CO2 lasers ,puch excision หรือ ศัลยกรรมหลุมสิว

  • Rolling Scars : Fractional CO2 lasers , Fractional RF เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพ

สิวประเภทไหนที่มีแนวโน้มทำให้เกิดหลุมสิว

สิวที่มีแนวโน้มทำให้เกิดหลุมมักเป็นสิวที่มีการอักเสบรุนแรงหรือลึกโดยเฉพาะเมื่อไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

1. สิวหัวช้าง (Cystic Acne)

   - ลักษณะ: เป็นตุ่มขนาดใหญ่ อาจมีหัวหรือไม่มีก็ได้

   - สาเหตุ: เกิดจากการอักเสบของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง

   - ข้อควรระวัง: ไม่ควรพยายามบีบหรือแกะ เพราะจะทำให้อักเสบมากขึ้นและเพิ่มโอกาสเกิดหลุมสิว

2. สิวอักเสบเป็นหนอง (Pustular Acne)

   - ลักษณะ: มีหนองภายในตุ่มสิว

   - ผลกระทบ: สามารถทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังและคอลลาเจน

   - ผลลัพธ์: เมื่อสิวหายอาจเกิดพังผืดดึงรั้งทำให้เกิดหลุมสิว

3. สิวหัวโตอักเสบ (Nodular Acne)

   - ลักษณะ: เป็นตุ่มแข็ง บวม แดง อยู่ลึกใต้ผิวหนัง

   - สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามในชั้นใต้ผิว

   - ความรุนแรง: มีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดหลุมสิวเนื่องจากความลึกของการอักเสบ

สิวเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดหลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการแกะ บีบ หรือรักษาไม่ถูกวิธี การอักเสบที่รุนแรงสามารถทำลายโครงสร้างผิวหนัง ทำให้เกิดโพรงหรือหลุมหลังจากสิวหายได้
การรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงทีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดหลุมสิว

ชนิดของสิว

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิวมีหลายประการ
ซึ่งเน้นที่การดูแลผิวอย่างถูกต้องและการจัดการกับสิวอย่างเหมาะสม ดังนี้:

1. รักษาสิวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

   - พบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว

   - ใช้ยารักษาสิวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

 

2. ห้ามแกะหรือบีบสิว

   - การแกะหรือบีบสิวเพิ่มโอกาสการอักเสบและการเกิดแผลเป็น

   - ใช้ยารักษาเฉพาะที่แทนการบีบสิว

 

3. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน

   - ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว

   - หลีกเลี่ยงการขัดถูรุนแรง

 

4. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม

   - ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic)

 

5. ป้องกันแสงแดด

   - ทาครีมกันแดดทุกวัน เลือกสูตรที่ไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic)

   - เลี่ยงแสงแดดอาจทำให้รอยแผลเป็นเด่นชัดขึ้น

 

6. รักษาความชุ่มชื้นให้ผิว

   - ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อรักษาความชุ่มชื้น

   - ผิวที่ชุ่มชื้นจะฟื้นฟูได้ดีกว่า

 

7. ทานอาหารที่มีประโยชน์

   - รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ

   - หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นการเกิดสิว

 

8. จัดการความเครียด

   - ความเครียดอาจกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนใบหน้า

 

9. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ

   - มือสกปรกอาจนำเชื้อแบคทีเรียมาสู่ใบหน้า

 

10. ใช้ผ้าเช็ดหน้าและปลอกหมอนที่สะอาด

    - เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยๆ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย

วิธีป้องกันหลุมสิว

วิธีรักษาหลุมสิวในปัจจุบัน

  • ฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์หลุมสิว 

  • ฉีดสารกระตุ้น กลุ่ม biostimulator

  • ทำเลเซอร์หลุมสิว

  • คลื่นวิทยุ RF รักษาหลุมสิว 

  • ผ่าตัดหลุมสิว (Acne Scar Revision)

  • กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion : MD)

  • ใช้กรดลอกผิว  (Chemical Peeling)

  • ใช้ Retinoids แก้หลุมสิว

  • ตัดพังผืด (Subcision)

โดยวันนี้ทาง Persona Clinic ขอให้ข้อมูลเฉพาะการรักษาที่ยังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน และได้ผลค่อนข้างดี ผลข้างเคียงต่ำ พร้อมแล้วอ่านต่อกันได้เลยค่าา~~

1.การใช้กรดลอกผิว

​​การใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling) คือ การทำให้เซลล์ผิวหน้าหลุดลอกออกมา โดยใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์เป็นกรดที่มีความเข้มข้นต่างกัน โดยแบ่งชั้นผิวออกได้เป็น 3 ระดับ

  1. ชั้นหนังกำพร้า สารที่ใช้ เช่น Glycolic Acid, Lactic Acid, Salicylic Acid ในความเข้มข้นต่ำ เป็นต้น โดยจะใช้ในระดับเปอร์เซ็นต์ที่ต่างกัน

  2. ชั้นหนังแท้ชั้นตื้น สารที่ใช้ เช่น Trichloroacetic acid (TCA) ในความเข้มข้นต่ำเป็นต้น

  3. ชั้นหนังแท้ชั้นลึก สารที่ใช้ เช่น  Phenol และ TCA ในความเข้มข้นที่สูงขึ้นเป็นต้น

ข้อดี

  • เหมาะกับการลอกในชั้นหนังกำพร้า ปัญหาตื้นๆ เช่น รอยดำตื้นๆ รอยหลุมสิวจิกเล็กๆแบบ Icepick Scar

  • ปัจจุบันจะใช้เฉพาะจุด และใช้กับหลุมสิวบางประเภทเท่านั้น เช่น TCA CROSS Technique และไม่มีการใช้ทั่วหน้าเพื่อรักษาหลุมสิว

ข้อเสีย

  • การลอกในชั้นหนังแท้ ไม่แนะนำในคนไทย เพราะโอกาสเกิดรอยดำ และแผลเป็นหลังทำสูง ยกเว้นการใช้เทคนิค TCA CROSS ในหลุมบางประเภท

  • อาจเกิดผลข้างเถียงได้ เช่น ผิวแดง คันแสบ หรือระคายเคืองในช่วงแรกจากการกัดกร่อน

2.Microneedling

Microneedling เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่บางที่ ยัง นิยมอยู่  เนื่องจากมีประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่ำ

หลักการทำงาน:

  1. ใช้อุปกรณ์ที่มีเข็มขนาดเล็กจำนวนมากสร้างรูเล็กๆ บนผิวหนัง

  2. การบาดเจ็บเล็กน้อยนี้กระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติของร่างกาย

  3. ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่

ประโยชน์:

  • ช่วยลดความลึกของหลุมสิว

  • ปรับปรุงพื้นผิวโดยรวมของผิวหนัง

  • กระตุ้นการไหลเวียนเลือดใต้ผิวหนัง

  • สามารถใช้ร่วมกับการนำส่งสารบำรุงผิวเข้าสู่ชั้นผิวลึก

ข้อดี:

  • มีความเสี่ยงต่ำและผลข้างเคียงน้อย

  • เหมาะสำหรับทุกสีผิว

  • ระยะเวลาพักฟื้นสั้น

  • สามารถทำซ้ำได้เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ข้อควรระวัง:

  • อาจเกิดอาการแดงหรือระคายเคืองเล็กน้อยหลังทำ

  • ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงหลังการรักษา

  • ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเปิดหรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง

ในปัจจุบันได้ลดความนิยมลงในการรักษาหลุมสิวเนื่องจากมีประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การรักษาด้วยเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุ ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและมีความเสี่ยงต่ำกว่า

3. การรักษาด้วยเลเซอร์

หลักการทำงาน:

- ใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงส่งผ่านผิวหนัง

- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่

- ช่วยปรับโครงสร้างผิวและลดความลึกของหลุมสิว

ประเภทเลเซอร์ที่นิยมใช้:

  • Fractional CO2 Laser

  • Erbium YAG Laser

  • Nd:YAG Laser

ข้อดี:

  • ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะกับหลุมสิวที่ลึก

  • สามารถปรับความเข้มข้นได้ตามความต้องการ

  • ฟื้นตัวเร็วกว่าวิธีดั้งเดิม

ข้อควรระวัง:

  • อาจมีอาการแดง บวม หรือลอกเล็กน้อยหลังทำ

  • ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัดหลังทำ

  • อาจต้องทำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เลเซอร์รักษาหลุมสิว

4.การรักษาด้วยคลื่นวิทยุ (RF)

หลักการทำงาน:

-  ใช้คลื่นความถี่วิทยุสร้างความร้อนใต้ผิวหนัง มีทั้งแบบมีเข็มและ ไม่มีเข็ม

-  กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิว

ข้อดี:

  • ไม่ทำลายผิวชั้นนอกเป็นวงกว้าง จึงฟื้นตัวเร็ว

  • เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวสีเข้ม เพราะเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำน้อยกว่า

ข้อควรระวัง:

  • อาจต้องทำหลายครั้งเพื่อเห็นผลชัดเจน

5.การเซาะพังผืดใต้หลุมสิว

การเซาะพังผืดใต้หลุมสิวหรือที่เรียกว่า Subcision เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาหลุมสิวที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling scars หรือหลุมสิวที่มีลักษณะเป็นคลื่น วิธีนี้มีรายละเอียดดังนี้

หลักการทำงาน:

  1. แพทย์จะใช้เข็มพิเศษสอดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณหลุมสิว

  2. ทำการตัดหรือแยกพังผืดที่ดึงรั้งผิวหนังลงไปเป็นหลุม

  3. การตัดพังผืดนี้จะช่วยให้ผิวหนังยกตัวขึ้น ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น

ข้อดีของการทำ Subcision:

  • เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling scars

  • สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ค่อนข้างเร็ว

  • สามารถทำร่วมกับวิธีอื่นๆ เช่น การฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ ฉีดเติมไขมัน ฉีดสารเติมเต็มท biostimulator เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ข้อควรระวัง:

  • อาจเกิดรอยช้ำหรือบวมชั่วคราวหลังทำ

  • ไม่เหมาะกับหลุมสิวทุกประเภท

ตัดผังผืดหลุมสิว

6.การใช้ Biostimulator ในการรักษาหลุมสิว 

การใช้ Biostimulator ในการรักษาหลุมสิวเป็นวิธีการที่ค่อนข้างใหม่และมีประสิทธิภาพสูง

 

โดยมีหลักการทำงานคือ

1. Biostimulator เป็นสารที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง

2. สารนี้จะถูกฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณที่มีหลุมสิว

3. เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ช่วยเติมเต็มหลุมสิวจากภายใน

 

ประเภทของ Biostimulator ที่นิยมใช้:

- Poly-L-lactic acid (PLLA)

- Calcium Hydroxylapatite (CaHA)

- Polycaprolactone (PCL)

 

ข้อดีของการใช้ Biostimulator:

- ผลลัพธ์ค่อยๆ ดีขึ้นตามเวลา ซึ่งต้องรอระยะเวลาในการกระตุ้น collagen

- ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม นอกเหนือจากการรักษาหลุมสิว

- ผลการรักษาอยู่ได้นาน (มักนานกว่า 1-2 ปี)

- เหมาะสำหรับหลุมสิวหลายประเภท รวมถึง Rolling scars และ Box scars

 

ข้อควรระวัง:

- อาจเกิดอาการบวมหรือรอยช้ำชั่วคราวหลังการรักษา

- ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน

- อาจต้องทำหลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

รักษาหลุมสิว

เลือกคลินิกรักษาหลุมสิวที่ไหนดี?

1. ควรเลือกคลินิกที่มีแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลป์จริง

 

2. เทคโนโลยีและวิธีการรักษา :

คลินิกที่ดีควรมีเครื่องมือที่ทันสมัยและหลากหลายวิธีการรักษา เพื่อให้สามารถปรับแผนการรักษาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล

 

3. การวางแผนการรักษาแบบองค์รวม :

แพทย์ควรพิจารณาทั้งการใช้ยาและหัตถการต่างๆ ร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา

 

4. การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง :

คลินิกที่ดีควรมีระบบติดตามผลและปรับแผนการรักษาตามความจำเป็น

 

5. ความโปร่งใสในการให้ข้อมูล :

ควรเลือกคลินิกที่อธิบายขั้นตอน ข้อดี ข้อเสีย และความคาดหวังจากการรักษาอย่างชัดเจน

 

 

การรักษาหลุมสิวต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างแพทย์และผู้รับการรักษา ควรเลือกคลินิกที่คุณรู้สึกไว้วางใจและสามารถสื่อสารกับแพทย์ได้อย่างเปิดเผย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
 

สรุปการรักษาหลุมสิวฉบับ Persona Clinic

คือการรักษาแบบผสมผสาน กันในแต่ละบุคคล

การรักษาหลุมสิวแบบผสมผสานหลายเทคนิคช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความเหมาะสมในการรักษา โดยสามารถจัดการกับรอยแผลเป็นหลายประเภทได้อย่างครอบคลุม เนื่องจากใบหน้าคนหนึ่งอาจจะมีหลุมสิวหลายประเภท มีความลึก ของหลุมสิวที่แตกต่างกัน ตัวอย่างวิธีการผสมผสานที่มีประสิทธิ ได้แก่:

ชนิดของหลุมสิว

1. Subcision ร่วมกับเลเซอร์หรือ Fractional RF, Fractional CO2 Laser  ร่วมกับ biostimulator

2. Microneedling ร่วมกับ โปรแกรมฟิลเลอร์ หรือ Biostimulator

3. การใช้เลเซอร์ควบคู่กับการทายาเฉพาะที่

 

วิธีการเหล่านี้ช่วยปรับปรุง:

- พื้นผิวของผิวหนัง (Skin Texture)

- โทนสีผิว

- รูปลักษณ์ภายนอกโดยรวม

 

การรักษาแบบผสมผสานนี้มีข้อดีคือ:

- เสริมฤทธิ์กันระหว่างวิธีการต่างๆ

- ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น

- เพิ่มความหวังและความมั่นใจให้กับผู้ที่มีปัญหาหลุมสิว

 

โดยสรุป การผสมผสานเทคนิคต่างๆ ในการรักษาหลุมสิวช่วยให้ผู้รับการรักษาได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในหลายด้าน ทั้งเรื่องพื้นผิว สีผิว และรูปลักษณ์โดยรวม ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งสภาพผิวและความมั่นใจของผู้รับการรักษา

FAQ รวมคำถามและคำตอบที่พบบ่อย
เกี่ยวกับการรักษาหลุมสิว

คำถามและคำตอบที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิว

Q: หลุมสิวสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

A: หลุมสิวสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้มาก แต่การรักษาให้หายขาดสมบูรณ์อาจเป็นไปได้ยาก ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของหลุมสิวและวิธีการรักษา การทำความเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นและข้อจำกัดของการรักษาแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าการรักษาบางอย่างจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นมาก แต่การมีผิวที่ปราศจากรอยแผลเป็นอย่างสมบูรณ์อาจเป็นไปไม่ได้ การตั้งเป้าหมายที่สมจริงและมีความอดทนต่อกระบวนการรักษาจะนำไปสู่ความพึงพอใจที่ดีขึ้น 

 

Q: การรักษาหลุมสิวใช้เวลานานแค่ไหน?

A: ระยะเวลาการรักษาแตกต่างกันไป โดยทั่วไปอาจใช้เวลาหลายเดือนถึงหนึ่งปี ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาและสภาพของหลุมสิว

 

Q: วิธีการรักษาหลุมสิวแบบไหนที่ได้ผลดีที่สุด?

A: ไม่มีวิธีใดวิธีเดียวที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน การรักษาแบบผสมผสานหลายเทคนิคมักให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับประเภทของหลุมสิวและสภาพผิว

 

Q: การรักษาหลุมสิวเจ็บมากไหม?

A: ระดับความเจ็บปวดขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา บางวิธีอาจรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยแต่แพทย์มักใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความเจ็บปวด

 

Q: หลังการรักษาหลุมสิวต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?

A: ระยะเวลาพักฟื้นแตกต่างกันตามวิธีการรักษา บางวิธีอาจใช้เวลา 1-2 วัน ในขณะที่วิธีที่รุนแรงกว่าอาจต้องใช้เวลา 1-2 สัปดาห์

 

Q: การรักษาหลุมสิวมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

A: ความเสี่ยงอาจรวมถึงการระคายเคือง รอยแดง บวม หรือในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดการติดเชื้อหรือแผลเป็น แต่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความเสี่ยงเหล่านี้จะลดลงมาก

 

Q: สามารถป้องกันการเกิดหลุมสิวได้อย่างไร?

A: การรักษาสิวตั้งแต่เริ่มเกิด ไม่แกะหรือบีบสิว และการดูแลผิวอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดหลุมสิวได้

 

Q: การรักษาหลุมสิวเหมาะกับทุกคนหรือไม่?

A: ไม่ทุกคนที่เหมาะกับการรักษาทุกวิธี แพทย์จะประเมินสภาพผิว ประวัติสุขภาพ และปัจจัยอื่นๆ ก่อนแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสม

 

Q: ควรเริ่มรักษาหลุมสิวเมื่อไหร่?

A: ควรเริ่มรักษาเมื่อสิวหายสนิทแล้ว และไม่มีการอักเสบของสิว

รีวิวรักษาหลุมสิว
ที่ Persona Clinic

ปรึกษาแพทย์ persona clinic
bottom of page